วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อาการ เส้นกระตุก ทำนายได้ว่า (ความเชื่อนะครับ)


Search หาไปหามา ก็เจอว่าไอ้ที่เรา กระตุก  ไม่ว่าเส้นกระตุก หนังตากระตุก คิ้วกระตุก เส้นเอนกระตุก
บางทีรู้สึกว่าเส้นเลือด เรามันกระตุก ตุบๆ ดึบๆ บับๆ หนุบๆ บุบๆ แล้วแต่ใครจะเรียก (อยากเขียนให้เยอะกว่านี้จะได้ Search เจอ ฮ่าๆ) ผมก็เลยเอามาโพสให้อ่านกันที่นี่ครับ..........ฮ่า......



การเขม่นที่หัวคิ้วทางด้านขวา หมายถึง การจะถูกหักหลัง

การเขม่นที่หัวคิ้วทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีคนรักบ่นถึง

การเขม่นที่หางตาทางด้านขวา หมายถึง การจะได้โชคลาภ ได้รับเงินทอง

 การเขม่นที่หางตาทางด้านซ้าย หมายถึง การจะไม่สบายใจ การเจ็บป่วย

การเขม่นที่หน้าผาก หมายถึง การจะเสียของรัก

การเขม่นที่ตาทางด้านขวา หมายถึง การจะมีคนนำโชคลาภมีให้

การเขม่นที่ตาทางด้านซ้าย หมายถึง การที่มีผู้หญิงบ่นถึง

การเขม่นที่หูทางด้านขวา หมายถึง การจะได้รับข่าวไม่ค่อยดี

การเขม่นที่หูทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับข่าวดี

การเขม่นที่จมูก หมายถึง การจะมีเรื่องมีราวที่ไม่ดี

การเขม่นที่แก้มทางด้านขวา หมายถึง การจะได้ลาภจากคนรัก

การเขม่นที่แก้มทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีความสุขสมหวังกับคนรัก

การเขม่นที่ริมฝีปาก หมายถึง การจะมีโชคลาภทางอาหารการกิน

การเขม่นที่ริมฝีปากทางด้านบน หมายถึง การจะมีคนเลี้ยงไปงานเลี้ยง

การเขม่นที่ริมฝีปากทางด้านล่าง หมายถึง การจะได้รับข่าวดีจากเพศตรงข้าม

การเขม่นที่ริมฝีปากทางด้านขวา หมายถึง การจะมีลาภจากเพศตรงข้าม

การเขม่นที่ริมฝีปากทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีปากเสียงทะเลาะวิวาท

การเขม่นที่คาง หมายถึง การจะประสบปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ทางครอบครัว

การเขม่นที่ต้นคอ หมายถึง การจะประสบอุบัติเหตุ

การเขม่นที่คอทางด้านขวา หมายถึง การจะมีลูกชายเป็นที่น่าพึงพอใจ

การเขม่นที่คอทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีลูกสาวเป็นที่น่าพึงพอใจ

การเขม่นที่ไหล่ทางด้านขวา หมายถึง การจะเสียเงินเสียทองของรัก

การเขม่นที่ไหล่ทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจ

การเขม่นที่รักแร้ทางด้านขวา หมายถึง การจะเกิดความเดือดร้อน

การเขม่นที่รักแร้ทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีลาภ มีข้าวของเงินทอง

การเขม่นที่แขนทางด้านขวา หมายถึง การจะได้ลาภจากการเดินทาง

การเขม่นที่แขนทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับข่าวดี

การเขม่นที่ข้อศอกทางด้านขวา หมายถึง การมีญาติพี่น้องมาเยี่ยม

การเขม่นที่ข้อศอกทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีคนรักที่น่าพึงพอใจ

การเขม่นที่มือทางด้านขวา หมายถึง การจะได้รับเงินทองเป็นของรางวัล

การเขม่นที่มือทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับชื่อเสียงเกียรติยศ

การเขม่นที่หลังฝ่ามือทางด้านขวา หมายถึง การจะมีคนมาติดต่อเรื่องงาน

การเขม่นที่หลังฝ่ามือทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับจดหมายจากเพศตรงข้าม

การเขม่นที่นิ้วหัวแม่มือ หมายถึง การจะมีคนมาขอรับปรึกษา

การเขม่นที่นิ้วชี้ หมายถึง การจะเกิดเรื่องเกิดราว

การเขม่นที่นิ้วกลาง หมายถึง การจะมีคนมาขอให้เป็นพยาน

การเขม่นที่นิ้วนาง หมายถึง การจะได้รับข่าวดีจากต่างเพศ

การเขม่นที่นิ้วก้อย หมายถึง การจะมีคนดูถูก

การเขม่นที่หน้าอก หมายถึง การจะพบเพศตรงข้ามที่พึงพอใจ

การเขม่นที่หัวนมทางด้านขวา หมายถึง การจะมีโชคลาภจากเพศตรงข้าม

การเขม่นที่หัวนมทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้เดินทางไกล

การเขม่นที่ฐานหัวนมทางด้านขวา หมายถึง การจะได้รับข่าวจากคนรัก

การเขม่นที่ฐานหัวนมทางด้านซ้าย หมายถึง การที่คนรักจะคิดถึงมาก

การเขม่นที่สีข้างทางด้านขวา หมายถึง การจะมีโชคลาภ

การเขม่นที่สีข้างทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้ลาภจากเพศตรงข้าม

การเขม่นที่สะโพกทางด้านขวา หมายถึง การจะมีโชคกับเพศตรงข้าม

การเขม่นที่สะโพกทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีคู่ครองได้แต่งงาน

การเขม่นที่ขาทางด้านขวา หมายถึง การจะทะเลาะกับเพศตรงข้าม

การเขม่นที่ขาทางด้านซ้าย หมายถึง การจะทะเลาะกับเพศเดียวกัน

การเขม่นที่หน้าแข้งทางด้านขวา หมายถึง การจะถูกเพศตรงข้ามหลอกลวง

การเขม่นที่หน้าแข้งทางด้านซ้าย หมายถึง การจะถูกเพศเดียวกันหลอกลวง

การเขม่นที่เข่าทางด้านขวา หมายถึง การจะมีลาภลอย

การเขม่นที่เข่าทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีปากเสียงกับคู่ครอง

การเขม่นที่เท้าทางด้านขวา หมายถึง การจะได้เดินทางไกล

การเขม่นที่เท้าทางด้านซ้าย หมายถึง การจะถูกเพศตรงข้ามดูถูกเหยียดหยาม

การเขม่นที่ปลายเท้าทางด้านขวา หมายถึง การที่พี่น้องจะคิดถึงกัน

การเขม่นที่ปลายเท้าทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีการเดินทางไกล




วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คนไทยล้มเหลวทุกระดับ


เห็นคนไทยไม่น้อยชอบพูดว่า "ไม่มีที่ไหนเหมือนเมืองไทย" "เมืองไทยสบายที่สุดแล้ว"

ฟังแล้วก็ได้แต่ปลง เพราะเป็นทัศนคติที่หลงตัวเองแบบสุด ๆ ประมาณว่า ประเทศนี้ดีที่สุด
ไม่คิดบ้างเหรอครับว่า คนชาติอื่นเขาก็พูดทำนองเดียวกัน ว่าไม่มีที่ไหนเหมือนบ้านของเค้า

ประเด็นก็คือ เพราะคนไทยคิดแบบนี้ จึงไร้วุฒิภาวะเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต (ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม
หรือเคยอยู่เมืองนอกมานานก็ตาม)


ประเทศจีน ออกสำรวจโลกสมัยเจิ้งเหอ เมื่อปี 1421 ก่อนโคลัมบัส 80 ปี โปรตุเกส ฮอลแลนด์
และเจ้าอาณานิคมอื่นๆ ทั้งหลาย ก็ทำแบบเดียวกัน ในเวลาต่อมา

ทุกวันนี้ ประเทศเหล่านี้ คือ ประเทศที่กุมเศรษฐกิจโลก เพราะออกเดินทางก่อนใคร ออกสำรวจโลกก่อนใคร รู้จักการค้าก่อนใคร และเล่นการเมืองระหว่างประเทศก่อนใคร
แทรกซึมทางเชื้อชาติ การค้า และวัฒนธรรมได้ก่อนใคร

คนจีนมีอยู่ทุกที่ในโลก แอฟริกาก็มี ไซบีเรียก็มี ทุกวันนี้ จีนประกาศจะรวมพลังชาวจีนโพ้นทะเลเพื่อร่วมพัฒนาชาติจีน ทั้งที่สมัยเหมา เจ๋อ ตง ไม่เคยพูดถึงแบบนี้มาก่อน คนจีนถูกฆ่าตายในอินโดนีเซีย ประธานาธิบดีเจียง เจ๋อ หมิน ก็ไม่ปริปากสักคำ เพราะสมัยก่อนคนจีนมีชีวิตราคาถูกมาก ๆ แต่วันนี้ไม่ใช่อีกแล้ว

วันนี้ คนญี่ปุ่นได้เป็นประธานาธิบดีเปรู คนเวียดนามได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีเยอรมนี แต่คงจะไม่มีวันนั้นสำหรับคนไทย

ถ้าใครเคยมาเรียน หรือมาอยู่ที่อเมริกาจะรู้เลยว่า คนไทย เป็นคนที่ปรับตัวได้ยากที่สุด และน่าจะเป็นคนเอเชียที่ปรับตัวได้ยากที่สุดด้วย ปัญหาหลัก คือ ภาษา ปัญหารอง คือ การปรับตัว คุณจะเห็นคนเกาหลีคบกับคนผิวดำ ส่วนคนจีน และคนอินเดียนั้น มีอยู่ทุกที่ แต่คนไทยจะหลบมุมอยู่เงียบ ๆ สวงนคำพูด สงวนท่าที ร่วมกิจกรรมน้อย



นี่คือนิสัยหล้าหลังแบบไทย คือ ไม่สู้ปัญหา แล้วก็คิดว่า สุดท้ายก็กลับไปตายรังที่เมืองไทย
(รวมทั้งคนที่อยู่เมืองนอกมาเกือบทั้งชีวิต)

นี่เป็นจุดเล็ก ๆ ที่สะท้อนบุคลิกของคนในชาติ สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือ การค้าและการระหว่างประเทศ

ทุกวันนี้ ในองค์กรระหว่างประเทศแทบไม่มีคนไทยนั่งในตำแหน่งสำคัญอีกแล้ว
เมื่อเทียบกับยุค 30 - 40 ปีที่แล้ว เพราะการศึกษา การวางตัวของคนไทยไม่มียุทธศาสตร์
ที่จะพัฒนาคนมาทดแทน
การหาเพื่อนในเวทีต่างประเทศก็ทำไม่เป็น จึงแพ้ในการต่อรอง เจรจาแทบทุกเวที
นับว่าถอยหลังลงคลองเข้าทุกวัน

ส่วนในด้านเศรษฐกิจ ก็ขยายตลาดไม่เป็น เพราะเครือข่ายน้อย จนเคยชินกับการเป็นประเทศ
รองรับการผลิต อาศัยคนนอกมาลงทุนในประเทศเป็นหลัก หรือไม่ก็ผูกขาดตลาดภายในประเทศ
ทุกวันนี้กิจการในไทยเป็นของคนสิงคโปร์เกือบหมดแล้ว สาธารณูปโภคก็ไม่มีเงินลงทุน
ต้องพึ่งต่างชาติในที่สุด


ที่เป็นเช่นนี้ เพราะคนไทยถูกเลี้ยงมาแบบตามใจ ไม่รู้จักโต มีอุปสรรคก็ท้อถอย ไปไม่รอดก็กลับมาตายรังให้ญาติดูแล ทำตัวหลบอยู่ในบ้านเพราะไม่กล้าเผชิญโลก ไม่ต้องคิดอะไรใหม่ ๆ เอาของบรรพบุรุษมากิน อีกร้อยปีก็ได้แค่นี้

โดยรวมจึงเป็นชาติที่อ่อนแอยิ่ง รอวันเสื่อมสลาย และถูกกลืนในที่สุด





วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

อุดมคติ ในการทำงานมันเป็นอย่างกันแน่







พวกเราไม่เคยพูดถึงการทำงานเพื่ออุดมคติ เพราะพวกเราไม่เคยรู้ว่าอุดมคตินั้นมีความหมายอย่างไร

เมื่อพูดถึงการเรียน เราก็พูดต่อเรื่องการงาน ตามมาด้วยการเงิน การเที่ยวเตร่สนุกสนาน การแต่งงานมีครอบครัว ความก้าวหน้าเป็นใหญ่เป็นโต

เราพูดกันถึงเรื่องช่องทางแห่งความก้าวหน้าในอนาคตที่ต้องอาศัยตำแหน่งก้าวขึ้นไป เราจึงมองหาว่า งานอะไรที่ให้เงินเดือนแพงและมีช่องทางก้าวไปได้ไกลในชีวิตส่วนตัว คือ อีกเท่านั้นปีเท่านี้เดือนก็จะได้เงินเดือนเท่านั้นเท่านี้ เป็นหัวหน้าแผนก หัวหน้ากอง อธิบดีหรือผู้อำนวยการ เป็นรองศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์ คณะบดีและอธิการบดี ฯลฯ

ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่า ล้วนมุ่งสู่ความสำเร็จของตนเอง เราไม่เคยพูดถึงการเรียนการงานอันจะนำไปสู่ประโยชน์แก่สังคม เราไม่เคยคิดว่า เราจะทำงานแล้ว ผลงานควรเสริมสร้างสังคม เราคิดกันแต่เรื่องจะเอาประโยชน์จากสังคม

"การทำงานเพื่ออุดมคติ อันหมายถึงการทำงานเพื่อผลของงาน คือ ให้ผลงานออกมาดี ออกมาเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ รวมทั้งประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมก็ยอมทำด้วยความเต็มใจ โดยนัยนี้ ผู้ทำงานต้องไม่เล็งผลเลิศไปที่เงิน แต่เล็งไปที่ประโยชน์เป็นเป้าหมายว่า การทำงานของตน สำเร็จประโยชน์เพียงใด"




พวกข้าราชการส่วนใหญ่ถูกเพ่งเล็งที่สุดว่า คิดแต่จะเอาประโยชน์จากราชการ ส่วนเรื่องที่ตนจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ราชการบ้างนั้น ไม่เคยคิดและคิดไม่เป็น ใครเป็นผู้หว่านพืชแห่งความเห็นแก่ตัวเหล่านี้ไว้ในสังคมไทย และจะแก้ไขอย่างไร ?


การทำงานเพื่ออุดมคติ อันหมายถึงการทำงานเพื่อผลของงาน คือ ให้ผลงานออกมาดี ออกมาเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ รวมทั้งประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมก็ยอมทำด้วยความเต็มใจ โดยนัยนี้ ผู้ทำงานต้องไม่เล็งผลเลิศไปที่เงิน แต่เล็งไปที่ประโยชน์เป็นเป้าหมายว่า การทำงานของตน สำเร็จประโยชน์เพียงใด ผู้ทำงานยังต้องสำรวจความรู้ความสามารถของตนว่าเหมาะสมกับงานหรือไม่ ในการนี้ไม่ต้องคำนึงถึงเกียรติหรือตำแหน่งอันใหญ่โตหรูหรา คำนึงแต่ว่าหน้าที่ของเรานี้จะทำประโยชน์แก่สังคมได้ดีเพียงไร

นักเรียนต้องตั้งเข็มในทางที่ว่า จะเรียนอะไรจึงจะเหมาะสมกับอุปนิสัยของตน เพื่อสำเร็จออกมารับใช้สังคม ไม่คิดกันแต่ว่าจะเรียนอะไรเมื่อสำเร็จแล้วจึงจะรวยเร็ว หรือไปทำงานในตำแหน่งไหน กรมไหน จึงจะมีลู่ทางได้พิเศษมานอกจากเงินเดือน ถ้าคนส่วนใหญ่คิดกันอยู่อย่างนี้ บ้านเมืองไม่มีทางเจริญไปได้.


"คนไทยคิดคำนึง"



วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

นักวิทย์ทดสอบพบ “นั่งหลังเครื่องบิน” มีสิทธิ์รอดตายมากกว่า


ผลการทดลองปล่อยเครื่องบินโบอิ้ง 727 ให้ตกลงสู่ทะเลทรายเม็กซิโก ยืนยันได้ว่า ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านหลังเครื่องบินมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่า ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตก

เอเจนซี - ภาพที่เห็นนี้คือการจำลองเหตุเครื่องบินตก โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทดสอบปล่อยเครื่องบินโดยสารให้ร่วงลงสู่พื้น เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับตัวเครื่องและผู้โดยสารที่นั่งอยู่ภายใน
     
การควบคุมเครื่องบินโบอิ้ง 727 ชนิด 170 ที่นั่งให้ตกลงสู่ทะเลทรายโซโนรันของเม็กซิโก ถือเป็นงานทดลองด้านการบินที่น่าตื่นตะลึงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยหลังจากที่นักบิน เจมส์ สโลคัม วัย 55 ปี กระโดดร่มออกจากเครื่องบินที่ความสูง 2,500 ฟุต นักบินอีกคนหนึ่งที่ขับเครื่องบินเล็ก Cessna ตามมาก็ใช้รีโมตคอนโทรลควบคุมเครื่องบินโดยสารให้ร่วงลงสู่พื้นดิน







นักวิจัยติดตั้งหุ่นดัมมี 3 ตัวไว้ภายในเครื่อง ซึ่งหุ่นเหล่านี้ถูกออกแบบให้เคลื่อนไหวร่างกายได้เหมือนมนุษย์
     
หุ่นแต่ละตัวถูกวางไว้ในท่านั่งแตกต่างกัน ตัวที่หนึ่งอยู่ในท่าก้มตัวกอดเข่า (brace position) และคาดเข็มขัดนิรภัย ตัวที่สองคาดเข็มขัดนิรภัยแต่ไม่นั่งในท่าก้มตัวกอดเข่า และตัวสุดท้ายไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และไม่อยู่ในท่าก้มตัวกอดเข่าด้วย
     
เมื่อเครื่องบินตกกระแทกพื้นโดยเอาส่วนหัวลงก่อน ปรากฏว่าหุ่นที่นั่งในท่าก้มตัวกอดเข่าจะปลอดภัยจากแรงกระแทก ตัวที่ไม่ได้อยู่ในท่าดังกล่าวได้รับบาดเจ็บรุนแรงศีรษะ และตัวสุดท้ายที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ในสภาพพังยับเยิน
     



โครงการทดลองมูลค่า 1 ล้านปอนด์ซึ่งจะแพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ของอังกฤษในเดือนตุลาคมนี้ มีเป้าหมายเพื่อจำลองการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงแต่ยังอยู่ในขั้นมีผู้รอดชีวิต และเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาความเสียหายเชิงโครงสร้างเมื่อเกิดการชน (crashworthiness) ของตัวเครื่องและห้องโดยสาร ตลอดจนผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ด้วย
     
 นักวิทยาศาสตร์ติดตั้งกล้องหลายสิบตัวบนเครื่องบินโบอิ้งที่ใช้ทดลอง เพื่อให้เห็นสภาพภายในตัวเครื่อง และยังมีการจับภาพจากพื้นดิน, บนเครื่องบินเล็กที่ติดตามมา และแม้กระทั่งบนหมวกนักบินที่ดีดตัวออกจากเครื่อง
     
ผลการทดลองสรุปได้ว่า ผู้โดยสารร้อยละ 78 จะรอดชีวิตจากการตกในลักษณะนี้ ทว่าผู้โดยสารชั้นเฟิสต์คลาสจะเสียชีวิตทั้งหมด เนื่องจากส่วนหน้าของเครื่องบินฉีกขาดออกจากลำตัว
     

ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านหลังเครื่องมีโอกาสรอดชีวิตมากที่สุด
     
การทดลองครั้งนี้ถือเป็นการจำลองสถานการณ์เครื่องบินตกครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ โดยเมื่อนาซาทำการทดลองลักษณะนี้กับเครื่องบินโบอิ้ง 720 ในปี 1984 ปรากฏว่าเครื่องบินเกิดระเบิดไฟลุกท่วมทั้งลำ




วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

ขันติธรรม ว่าด้วยความอดทน


"หนทางไปสู่เกียรติศักดิ์จักประดับดอกไม้
หอมหวนชวนจิตไซร้ ไป่มี"

ข้าพเจ้าเห็นว่า ทางการจีน ต้องการนำเสนอบทเรียนชีวิตที่สำคัญบทหนึ่งแก่ตัวนักเรียน (ซึ่งจะเป็นกำลังหลักในการนำพาชาติบ้านเมืองให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ ) และตัวผู้ปกครองนักเรียน บทเรียนนี้ ว่ากันว่า ถ้าผ่านไปได้ ถือ หมดห่วงได้เลย ก็คือ บทที่ว่า ขันติธรรม

บุคคลผู้มีความอดทน ย่อมไม่มีอันตรายแก่ใครๆ มีแต่จะนำประโยชน์สุขมาให้แก่บุคคลผู้ที่คบหาเสวนาด้วยอย่างเดียว เพราะบุคคลผู้มีความอดทน ย่อมเป็นผู้มีมงคลคือเหตุแห่งความเจริญในตนอยู่แล้ว จะประกอบกิจการทุกสิ่งล้วนทำด้วยปัญญาอันประกอบด้วยเหตุผลทั้งสิ้น อีกทั้งเป็นผู้หนักแน่น ไม่หวั่นไหวได้ง่าย

ส่วนบุคคลผู้ที่ไม่มีความอดทน ย่อมตรงกันข้าม คือ เมื่อได้ประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจเข้า ก็อาจจะแสดงกิริยาอาการอันไม่งาม ไม่น่าชมออกมาได้ทุกเวลา ทุกโอกาสสถานที่ และเมื่อเป็นเช่นนี้ การประกอบกิจการทุกสิ่งทุกอย่าง หรือการคบหาสมาคมกัน เพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์สุขต่อกันนั้น ก็ย่อมจะถึงกาลเสื่อมเสียไป

ขันติธรรม คือ ความอดทน ท่านจำแนกไว้ 3 ประการ คือ
ประการที่ 1 อดทนต่อความยากลำบาก หมายความว่า อดทนต่อทุกข เวทนาที่เกิดจากความเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะทุกชีวิตที่เกิดมาแล้ว ย่อมไม่พ้นจากความแก่ ความเจ็บ และความตายไปได้ จำต้องประสบพบกับบุคคลทุกประเภท ไม่ว่าจะยากจน หรือ ร่ำรวยก็ตาม ล้วนแล้วแต่ได้พบด้วยกันทั้งนั้น

ประการที่ 2 อดทนต่อความตรากตรำ หมายความว่า อดทนต่อความทุกข์ยากจากการทำงาน เพราะคนทุกคนจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ซึ่งบุคคลจะได้สิ่งเหล่านี้มาเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต ก็จะต้องขยันประกอบอาชีพการงาน แต่ถ้าบุคคลเป็นผู้เกียจคร้าน ไม่ประกอบการงาน ก็จะมีความเป็นอยู่อย่างลำบาก หากมีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้านแล้ว ก็จะหาทรัพย์ได้ ดั่งพุทธพจน์ที่ว่า บุคคลผู้มีหน้าที่ หมั่นขยันทำสมควร ย่อมหาทรัพย์ได้"
เมื่อมีหน้าที่การงานแล้ว ควรเป็นผู้ขยันหมั่นเพียร ทำให้เหมาะสมกับหน้าที่ ไม่ทอดทิ้งการงานที่ได้รับมอบหมาย แต่ควรเพียรพยายามทำให้เต็มกำลังความสามารถและสติปัญญา

การประกอบอาชีพการงานนั้น ย่อมประสบกับอุปสรรค ท่านที่มีปัญญาสามารถ ต้องการที่จะได้รับประโยชน์และความสุข ก็ไม่ควรทอดทิ้งหรือท้อถอย ควรใช้ความอดทนเป็นเบื้องหน้า ก็จะสำเร็จลุล่วงไปได้
ประการที่ 3 อดทนต่อความเจ็บใจ หมายความว่า อดทนต่อความโกรธที่มากระทบกระทั่ง เพราะบุคคลทุกคน จะอยู่คนเดียวลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยอยู่ร่วมกัน เป็นหมู่คณะ เป็นครอบครัว ตลอดถึงเป็นประเทศชาติ

บุคคลผู้อยู่ร่วมกันเช่นนี้ บางครั้งอาจมีความกระทบกระทั่งกัน ทะเลาะวิวาทบาดหมางกันบ้าง เพราะต่างก็มีกิเลสอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขาดความอดทนแล้ว ความทะเลาะวิวาทบาดหมาง ก็จะแตกแยกแผ่ขยายกว้างออกไป จนทำให้เสียหน้าที่การงานได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ประโยชน์สุขก็จะไม่เกิดขึ้น
ดังนั้น ผู้ที่มีขันติธรรม คือ ความอดทน เป็นผู้ปราศจากเวร นอกจากจะเป็นที่รักใคร่นับถือสำหรับมนุษย์ทั้งหลายแล้ว ยังเป็นที่รักใคร่นับถือของทวยเทพเทวดาทั้งหลาย ย่อมสามารถนำประโยชน์สุขมาให้แก่ตนเองและคนเหล่าอื่นได้อีกด้วย



นำมาจากข้อคิดของ :ผู้ละขันธ์๕

หนึ่งความคิดเห็นของ http://www.manager.co.th


วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

ถ้าพิกเซลเพิ่ม 2 เท่า จะทำให้ได้ภาพใหญ่ขึ้นเป็น 2 เท่าหรือป่าว?


จำนวนพิกเซลเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
จะทำให้พิมพ์ภาพทีใหญ่ขึ้นเป็น 2 เท่าได้



คำถามที่เชื่อว่า หลายคนคงต้องเคยสงสัย แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสถึงขั้นต้องรู้ให้ได้ อย่างไรก็ตาม หากสิ่งที่คิดมันผิดจากความจริงล่ะ? นั่นก็หมายความว่า เรากำลังเข้าใจ และจดจำอะไรผิดๆ ไปนั่นเอง อย่างเช่น คุณผู้อ่านคิดว่า "กล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซลจะสามารถพิมพ์ภาพได้ใหญ่กว่าเป็น 2 เท่าของกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล" หรือเปล่าครับ?

หากคุณตอบว่า แม่นแท้ คำตอบก็คือ คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ เหตุใดเราถึงกล่าวเช่นนั้น เรื่องของเรื่องก็คือ คุณผู้อ่านหลายๆ ท่านคงจะเดาว่า ถ้า 5 x 2 = 10 ดังนั้น 12 ต้องมากกว่า 2 เท่าอย่างเห็นๆ ตณิตศาสตร์ระดับประถมที่เห็นชัดเจนว่า มันถูกต้อง แต่กลับผิดสำหรับผลการคำนวณครั้งนี้ เนื่องจากเวลาที่เราพิมพ์ภาพจำนวนของพิกเซลจะถูกกระจายลงบนพื้นที่การพิมพ์ในสองมิติ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดังนั้น ความยาว x ความกว้าง ในที่นี้จึงเป็นคนละเรื่องกับการบวกความยาวกับความกว้าง...




สมมติว่า ขนาดภาพคือ 4x6 หรือคิดเป็นพื้นที่ 24 ตารางนิ้ว นั่นหมายความว่า ภาพขนาด 2 เท่าจะหมายถึง 8 x 12 หรือ 96 ตารางนิ้ว หรือพูดง่ายๆ ก็คือ คุณต้องการความละเอียดของพิกเซลมากขึ้น 4 เท่า เพื่อพิมพ์ภาพขนาด 8 x 12 นิ้วที่ใหญ่เป็น 2 เท่าของภาพขนาด 4 x 6 นิ้ว ดังนั้น หากคุณต้องการรู้ว่า ถ้าต้องการภาพพิมพ์ที่ใหญ่เป็น 2 เท่าของกล้องที่ใช้อยู่ คุณต้องเลือกกล้องที่ละเอียดเพิ่มข้นเป็นเท่าไร? สามารถแจกแจงได้ดังนี้

ภาพพิมพ์ที่ใหญ่เป็นสองเท่าของกล้อง 2 ล้านพิกเซลคือ 4 ล้านพิกเซล
ภาพพิมพ์ที่ใหญ่เป็นสองเท่าของกล้อง 4 ล้านพิกเซลคือ 16 ล้านพิกเซล
ภาพพิมพ์ที่ใหญ่เป็นสองเท่าของกล้อง 8 ล้านพิกเซลคือ 64 ล้านพิกเซล
ภาพพิมพ์ที่ใหญ่เป็นสองเท่าของกล้อง 12 ล้านพิกเซลคือ 144 ล้านพิกเซล

ว่าแต่เราต้องการกล้อง 144 ล้านพิกเซล เพื่อพิมพ์ภาพขนาดใหญ่เป็น 2 เท่าของกล้อง 12 ล้านที่เรามีอยู่นะหรือ? ประเด็นคือ มันยังไม่จบเท่านี้ครับ เนื่องจากในส่วนของการพิมพ์มันมีหน่วยความละเอียดเป็น DPI ซึ่งหมายถึง จำนวนจุดของการพิมพ์ต่อตารางนิ้ว และสำหรับภาพถ่ายที่มีคุณภาพการพิมพ์ที่ยอมรับได้อยู่ที่ 300 dpi ดังนั้นการพิมพ์ ภาพ 4 x 6 นิ้วที่ 300 dpi คุณสามารถใช้กล้อง 2.16 ล้านพิกเซลก็พอแล้ว (4 x 300 dpi x 6 x 300 dpi = 2,160,000) และหากคุณต้องการพิมพ์ภาพใหญ่ 8 x 10 นิ้ว ความละเอียดของกล้องที่คุณต้องการจะต้องมีอย่างน้อย 7.2 ล้านพิกเซล (8 x 300 dpi x 10 x 300 dpi = 7,200,000)  คราวนี้คุณก็คงพอจะคำนวณเองได้แล้วนะครับว่า ไฟล์ภาพของคุณทีมีอยู่จะสามารถพิมพ์ออกมาได้ขนาดไหนได้บ้างในระดับคุณภาพที่รับได้ ถ้าขี้เกียจคำนวณว่า ไฟล์ภาพทีมีอยู่จะสามารถพิมพ์ออกมาได้ไซส์ขนาดเท่าไร? ลองคลิกเข้าปใช้ตัวช่วยที่เว็บไซต์ photokaboom ดูนะครับ




วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Google ใช้วิธีการแปลภาษา โดยวิธี ยูเนียน หรอ...


Google Translate ทำงานอย่างไร?

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] Google Translate เครื่องมือแปลภาษาที่เปิดให้ใช้ฟรี โดยสามารถแปลได้ตั้งแต่ข้อความที่เป็นประโยคไปจนถึงเอกสารทั้งหน้า หรือแม้แต่ทั้งเว็บไซต์ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า คุณผู้อ่านของ arip หลายคนคงอยากทราบว่า Google Translate มีการทำงานอย่างไร? ทำไมมันถึงได้เข้าใจภาษาต่างๆ และสามารถแปลออกมาได้ค่อนข้างถูกต้องในบางภาษา?




สำหรับการแปลภาษาของ Google Translate จะมาจากการประมวลผลของคอมพิวเตอร์หลายเครื่องด้วยกัน โดยคอมพิวเตอร์เหล่านี้จะใช้กระบวนการแปลที่เรียกว่า "statistical machine translation" หรือ "ระบบการแปลภาษาเชิงสถิติ" ซึ่งเป็นวิธีที่คอมพิวเตอร์ใช้แปลความหมายของประโยค โดยอ้างอิงจากรูปแบบของข้อความจำนวนมาก เพื่อให้ข้อความที่แปลมีความใกล้เคียงกับภาษามนุษย์


ลองนึกย้อนไปในสมัยเรียนภาษาอื่นๆ หากคุณต้องการสอนใครสักคนให้สามารถพูดภาษาใหม่ได้ คุณอาจจะเริ่มต้นด้วยการสอนคำศัพท์ และกฎไวยกรณ์ที่จะบอกว่า โครงสร้างประโยคของภาษาเป็นอย่างไร? คอมพิวเตอร์สามาถเรียนรู้ภาษาต่างๆ ของมนุษย์ได้ด้วยวิธีเดียวกัน นั่นก็คือ การอ้างอิงจากความหมายของคำศัพท์ และกฎไวยกรณ์ แต่ในความเป็นจริง ภาษาต่างๆ จะมีความซับซ้อน ซึ่งครูสอนภาษาหลายคนก็มักจะบอกตรงกันว่า มันมีข้อยกเว้นสำหรับการใช้กฎต่างๆ ด้วย เมื่อคุณพยายามใช้ข้อยกเว้นเหล่านั้นทั้งหมด ก็จะพบว่า มันมีข้อยกเว้นของข้อยกเว้นขึ้นมาอีก จึงไม่น่าแปลกใจว่า คุณภาพของโปรแกรมแปลภาษาด้วยคอมพิวเตอร์จึงไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าที่ควร แต่สำหรับ Google Translate จะใช้วิธีแปลที่แตกต่างจากโปรแกรมทั่วไป


แทนที่ Google Translate จะใช้วิธีสอนให้คอมพิวเตอร์รู้จักกฎไวยกรณ์ของภาษา ทีมพัฒนาใช้วิธีทำให้คอมพิวเตอร์สามารถค้นพบรูปแบบ หรือกฎการแปลภาษาด้วยตัวมันเอง ซึ่งคอมพิวเตอร์ทั้งระบบสามารถทำสิ่งนี้ได้โดยวิเคราะห์จากเอกสารหลายล้านชุดที่มีการแปลออกมาแล้วโดยมนุษย์ ซึ่งข้อความที่แปลแล้วมาจากหนังสือต่างๆ จากองค์กรอย่าง UN และเว็บไซต์จากทั่วโลก โดยคอมพิวเตอร์สามารถสแกนข้อความต่างๆ เพื่อค้นหาสถิติที่สามารถให้ข้อสรุปที่ชัดเจนของรูปแบบการแปลเทียบกับการแปลคำต่อคำจนสามารถตัดสินใจได้ว่า ประโยคนั้นๆ ควรจะแปลว่าอย่างไรกันแน่ เมื่อคอมพิวเตอร์พบรูปแบบของการแปลที่ชัดเจน (สถิติการแปลยืนยันว่า ส่วนใหญ่ต้องแปลแบบนี้) ระบบก็จะใช้รูปแบบนั้นแปลข้อความที่คล้ายกันออกมาได้ เมื่อคอมพิวเตอร์ผ่านกระบวนการแปลซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ ด้วยรูปแบบต่างๆ โปรแกรมก็จะมีความฉลาดในการแปลเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบางภาษามีเอกสารให้โปรแกรมได้เรียนรู้ค่อนข้างน้อย นั่นเป็นสาเหตุให้คุณภาพการแปลภาษาของ Google Translate มีความแตกต่างกันไป ซึ่ง Google ยอมรับว่า ระบบการแปลยังไม่สมบูรณ์ แต่ด้วยการที่ระบบได้รับข้อความแปลใหม่ๆ ตลอดเวลา มันจะทำให้คอมพิวเตอร์ฉลาดขึ้น และการแปลก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ตามไปด้วย ดังนั้นทุกครั้งที่คุณแปลประโยค หรือเว็บเพจด้วย Google Translate พึงระลึกว่า การแปลที่เห็นนั้นเกิดจากการประมวลผลเอกสารการแปลหลายล้านชุด และหลายพันล้านรูปแบบการแปล ซึ่งหลายต่อหลายครั้งผู้ใช้จะทึ่งกับผลลัพธ์การแปลที่ได้



เอามาจากนี้นะ : http://googlesystem.blogspot.com






หาตัว (,) คอมม่า แต่หาไม่เจอ และแล้วก็หาจนเจอ

วุ้ยวันนี้มัวแต่หาตัวลูกน้ำ ว่าภาษาอังกฤษมันอ่านว่าอย่างไร พอจะใช้พิมพ์ก็ถามเพื่อร่วมงาน
ถามว่าไอ้ตัวนี้มันคืออะไร เพื่อมันก็ต่างทำหน้างงๆ  ออ เหมือนจะเคยเรียน แต่ไม่ได้พกติด
หัวซะแล้ว ลืมไปหมด  

แนะผมว่าเลยคนเราตอนเรียนท่องกัน เรียนกัน จดจำกันเป็นตาย (แต่ตัวนี้คงไม่ได้ออกสอบหรอก แค่
ตัวลูกน้ำไม่มีใครถามมั้ง ส่วนมากประกอบอยู่ในประโยค ภาษาอังกฤษเพื่อ อธิบายประโยค
ด้านหน้า หรือขยายความหมายเดียวกัน)

เอาหละสุดท้ายก็หามาจนได้ จริงๆคนอื่นๆอาจหาง่ายกว่าผม
แต่ผมดันไปใช้คำค้นหาใน Google แบบอื่นๆ ลืมคิดไป ฮ่า...


wi7smile ตอบได้เป็นส่วนใหญ่ และดูเหมือนจะตอบถูก แต่ยังไม่หมดและไม่กระจ่าง บางคำก็เหมารวมเอาซึ่งไม่ถูกต้อง



,     Comma  = เครื่องหมายจุลภาค หรือลูกน้ำ

:      Colon = ทวิภาค

.      Full Stop = มหัพภาค (ภาษาอังกฤษบางทีก็เรียกว่า Period หรือ Dot เพิ่มมาให้รู้ไว้)

;      Semicolon = อัฒภาค <----- คำนี้ที่ถูกต้อง ต้องเขียนติดกันหรือไม่ก็ใช้คั่นเป็น semi-colon ไม่ใช่แยกเป็นสองคำนะคะ อย่าเผลอ
และคำอ่าน อัฒภาค "ฒ" ทอผู้เฒ่า ไม่ใช่ ตอผู้เฒ่า

?     Question Marks = ปรัศนี เครื่องหมายคำถาม

&    Ampersand  = เครื่องหมาย และ

*     Asterisk  = เครื่องหมายดอกจัน

<     Less Than <----- (เจ้าของกระทู้เขียนผิดนะ ที่ถูกต้องเขียนเช่นนี้) = เครื่องหมายน้อยกว่า
คนที่ตอบ ๆ มาข้างบนน่ะก็มั่วตาม ไม่รู้ว่าเค้าสะกดผิด

!     Exclamation Mark = อัศเจรีย์, เครื่องหมายตกใจ

~     Tilde  = เครื่องหมายบนอักษรที่แสดงการออกเสียงจากเพดานหรือจมูก

/      Oblique/Slash  = เครื่องหมายทแยงหรือเฉียงหลัง   (อย่าลืมนะว่ามันมีเฉียงหน้าและเฉียงหลัง)
/ สำนวนภาษาอังกฤษเรียกกันหลายคำเช่น Solidus หรือ Forward Slash ส่วนมากคนไทยก็ทับศัพท์ว่า สแลช

“     Quotation Mark  = อัญประกาศ หรือเครื่องหมายคำพูด (ภาษาปากเรียกว่าฟันหนู)

‘     Apostrophe  = เครื่องหมายย่อ, เครื่องหมายวรรคตอน

( )   Round Brackets  = วงเล็บกลม หรือวงเล็บเล็ก

[ ]   Square Brackets  = วงเล็บเหลี่ยม หรือวงเล็บใหญ่

…  Ellipsis = จุดไข่ปลา


จัดไปครับท่าน.....


วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

26 เส้นทาง ขั้นตอนการเพิ่มยอดผู้ชม ให้ได้วันละหมื่นกว่าคน


26 ขั้นตอนการสร้างเว็บไซต์
ให้ยอดวันละหมื่นห้า

เคล็ดไม่ลับ การสร้างเว็บไซต์ให้ผู้เข้าชมติดใจเว็บไซต์คุณ
หากคุณทำตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างเคร่งครัด คุณจะประสบความสำเร็จภายในหนึ่งปี ถ้าเว็บไซต์ของคุณเป็นภาษาอังกฤษ แต่ถ้าเป็นภาษาไทย ยอดน่าจะได้ประมาณ 2000 คนต่อวัน หลายๆคนอาจจะไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ไม่เชื่อนั่นแหละดี เราจะได้พิสูจน์กันไปพร้อมๆกันเลยว่า อีกหนึ่งปีข้างหน้า ยอดเว็บของเราจะพุ่งถึง 2000 คนต่อวัน จริงหรือเปล่า? ลองมาทำตามไปพร้อมๆกันเลยครับ (บทความนี้ เน้นถึงการทำเว็บไซต์ที่เหมาะกับ Search Engine และดึงผู้เข้าชมจาก Search Engine เป็นหลัก)

1. เตรียมตัวให้พร้อม
เตรียมตัวคุณให้พร้อม และเตรียมเนื้อหาให้พร้อม เนื้อหาของเว็บไซต์สำคัญกว่าชื่อโดเมนเสียอีก ถ้าหากคุณคิดชื่อโดเมนได้ แต่ไม่มีเนื้อหา คนเข้ามาก็จะรู้สึกแย่กับเว็บคุณ แล้วก็จะไม่กลับมาหาคุณอีกเลย! ทางที่ดี ควรจะเผื่อเนื้อหาไว้ให้พร้อมซัก 100 หน้าเป็นอย่างน้อย ที่สำคัญๆก็อย่างเช่น About Us หรือ Company Profile, Contact Us, Privacy Policy, Terms of Agreement เป็นต้น และถ้าเป็นไปได้ ต้องเป็นเนื้อหาที่หาที่ไหนไม่ได้ ตรงมาอ่านที่เว็บไซต์ของคุณเท่านั้น จะเยี่ยมมากๆ

2. ชื่อโดเมน
ต้องเน้นให้ จำง่าย, พิมพ์ง่าย ยิ่งพยางค์น้อย หรือน้อยตัวอักษรได้เท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าจะให้ดีมี keyword สำคัญๆของคุณอยู่ในโดเมนด้วยยิ่งดี แต่บางคนก็คิดว่า ชื่อโดเมนที่มี keyword อยู่ด้วยนั้น "Out" ไม่ทันสมัย เชยระเบิดระเบ้อ นั่นก็ขึ้นอยู่กับความชอบเป็นการส่วนตัว อย่าง SEO-Thai นี่จะถือว่ายาวก็ได้ สั้นก็ได้อีก หรือชื่อที่ไม่มีความหมายอย่าง Google ใครจะคิดว่าจะดังเปรี้ยงปร้างขนาดทุกวันนี้ นั่นขึ้นกับหลักง่ายๆที่ว่า ของดีเสียอย่าง ใครๆก็อยากได้ เพราะฉะนั้น เตรียมเนื้อหาของคุณให้ดี เอาเวลาคิดชื่อโดเมนเก๋ไก๋ไปทำเนื้อหาดีกว่าครับ

3. ออกแบบหน้าตาเว็บไซต์ให้ใช้ง่าย และตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
ง่ายไว้ก่อน ดีที่สุด ! ดีทั้งกับ Spiders และดีทั้งผู้เข้าชม, ดีกับ Spiders จะทำให้คนค้นหาเว็บไซต์ของคุณได้ง่าย และทำให้มีคนเข้ามามาก และเมื่อเข้ามาแล้วเว็บไซต์ใช้งานง่าย ทำความเข้าใจง่าย เนื้อหาก็ดี โดเมนจำง่าย ใครจะไม่เข้ามาอีก :) คุณอาจจะถามไปอีกว่า ง่ายน่ะ ง่ายยังไง เว็บของผมไม่เห็นจะใช้งานยากตรงไหนเลย? ผมมีวิธีทดสอบสองวิธีครับ

วิธีแรก ให้ลองนึกไปถึงวันแรกๆที่คุณใช้คอมพิวเตอร์ เล่นอินเทอร์เนต ความรู้สึกในวันนั้น คุณคงจำได้ว่า มันเงอะๆงะๆไปหมด ปุ่มไหนคืออะไร จะไปหน้าอื่นต้องทำอย่างไร รู้สึกว่ามันมีปุ่มอะไรต่างๆเยอะแยะไปหมด เอาง่ายๆ Mouse ยังใช้ไม่คล่องเลย! จริงมั้ยครับ? ลองนึกไปถึงวันนั้น แล้วดูเว็บของคุณอีกทีว่า ถ้าคุณในวันนั้นมาเข้าชมเว็บคุณ จะรู้สึกอย่างไร?

วิธีที่สอง เป็นวิธีทดสอบโดยใช้อาสาสมัคร โดยคุณจะต้องหาคนที่ไม่เคยใช้เว็บของคุณเลย จะเป็นคนที่ใช้อินเทอร์เนตคล่องอยู่แล้ว หรือจะเป็นมือใหม่หัด Serve Net ก็สุดแท้แต่ ขอให้มีเขายินดีมาเป็นตัวทดสอบเป็นใช้ได้ การทดสอบก็ง่ายๆ โดยการที่คุณตั้งโจทย์ให้ผู้ทดสอบทำอะไรซักอย่างเกี่ยวกับเว็บไซต์ของคุณเช่น อาจจะให้ลองเลือกซื้อของ หรือหาบทความที่มีอยู่ในเว็บ และคุณนั่งดูอยู่ข้างหลัง ดูอย่างเดียวนะครับ ห้ามแนะนำใดๆทั้งสิ้น ดูว่าเขาใช้งานได้คล่องเหมือนคุณหรือเปล่า? ถ้าไม่เกิน 20 นาทีก็ถือว่าผ่านครับ :)

อีกอย่างก็คือต้องพยายามจัดเนื้อหาของหน้าแรกให้ตรงกับกลุ่มคำ หรือข้อความในหัวข้อหลักของเว็บ มันจะมีความจำเป็นเมื่อ search engine ส่ง bot มาสำรวจเว็บของคุณมันจะได้รู้สึกว่าเว็บของคุณมีเนื้อหาไปในทำนองเดียวกับ meta-tag หรือ title จริงๆ

ความเร็วอาจจะไม่ใช่ทุกอย่าง การทำให้โหลดเร็วเข้าว่าเพียงอย่างเดียวก็อาจจะทำให้เว็บขาดความน่าสนใจไป มันอยู่ที่ว่าคุณจัดสรรหรือคัดเรื่องเด่นแค่ไหนเข้ามาลงหน้าแรก

4. ขนาดของข้อมูลในแต่ละหน้า (File Size)
ยิ่งเล็กยิ่งดี แต่กำลังพอดีจะดีที่สุด :) ถ้าเนื้อหามีน้อยก็ควรใส่รูปภาพประกอบ ตกแต่งให้สวยงาม แต่ถ้าเนื้อหามีมาก ถ้าใส่ไว้ในหน้าเดียวอาจจะทำให้โหลดข้อมูลนานเกินไป ควรจะทำการแบ่งเป็นหน้าๆ ตั้งชื่อแต่ละหน้า ตามหัวข้อของหน้านั้นๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องขนาดของไฟล์มากจนเกินไป ควรจะแบ่งให้อ่านแล้วรู้เรื่อง ไม่ใช่แบ่งซอยยิบเกินไป หวังให้โหลดเร็ว อย่างนั้น Search Engine ชอบ แต่คนไม่ชอบ เข้ามาแล้วอาจจากไปลับก็ได้ ควรให้พอดีๆ

5. เนื้อหา
ทำเนื้อหาตาม Keyword ที่เหมาะกับเว็บไซต์ของคุณ โดยการตั้ง Keyword เป็นตัวตั้ง ยกตัวอย่างเช่น เว็บของคุณขายต้นไม้ส่งในประเทศ คุณอาจจะเลือก "ไม้ประดับ" หรือ "ไม้มงคล" เป็น Keyword แล้วทำเนื้อหาตาม Keyword ที่เลือกไว้ แล้วคอย Update อย่างสม่ำเสมอ รับรองว่า "ไม้มงคล" หรือ "ไม้ประดับ" ของคุณจะออกดอกออกผลให้ได้ชื่นชมแน่ๆ

6. จำนวน Keyword และการจัดวางตำแหน่งในแต่ละหน้า
แน่นอนว่า ถ้าคุณอยากให้ Search Engine หาคุณพบด้วย Keyword คำไหน แต่ไม่มีคำนั้นๆในเว็บไซต์ของคุณเลย จะเป็นไปได้หรือ? และถ้ามีมากจนล้นเลยยิ่งแล้วใหญ่ (Spam) Search Engine เกลียดนัก ถือว่าดูถูกความสามารถกันอย่างร้ายแรง คุณต้องระวังให้จงหนักเลย ทางที่ดีควรจะมีไม่เกิน 5% ต่อจำนวนคำทั้งหมดในหน้านั้น (ไม่นับ Tag HTML) แต่ถ้าจำเป็นจะต้องมี Keyword คำนั้นๆมากๆ เพราะเหตุการณ์บังคับ ก็ควรจะใช้มุขเดิมคือ แบ่งเป็นหลายๆหน้า หรือหาเนื้อหาอื่นๆมาเพิ่ม ลดทอนจำนวน Keyword นั้นลง

7. การเชื่อมโยงไปเว็บไซต์อื่นๆ
เชื่อมโยงถึงเว็บไซต์ใหญ่ๆ ด้วย Keyword ในหน้านั้นเป็นการอ้างอิงให้ผู้เข้าชมเชื่อถือ แถมยังอ้างให้ Search Engine รู้ด้วยว่าเราเป็นเว็บที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆได้ง่ายยิ่งขึ้น (Ralate Link) เพราะเว็บไซต์ใหญ่ๆนั้น Search Engine รู้จักดีอยู่แล้ว เมื่อเราอ้างถึงเว็บไซต์นั้นๆ Search Engine จะสร้างความสัมพันธ์กับเว็บไซต์ของคุณ กับ Keyword ที่คุณ link ออกไป เปรียบเหมือนการแนะนำตัวกับ Search Engine เว็บไซต์ของเราอยู่หมวดหมู่ไหนนั่นเอง

8. โครงสร้างของการเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์ของคุณ (Cross Links หรือ Link Structure)
cross links ก็คือ links การเชื่อมโยงข้อมูลภายใน website ของเรานั้นเอง ถ้าคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับอาหาร คุณอาจจะต้องมีการเชื่อมโยงไปยัง หน้า แอปเปิ้ล หรือ ผักผลไม้อื่นๆ หรืออะไรก็ตามที่ชื่อพ้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณ ไม่จำเป็นจะต้องทำทุกหน้า แต่ถ้าคุณขยันและมีเวลาพอละก็ ผมแนะนำให้คุณทำ link ในคำทุกคำที่สามารถ link ได้ แต่ต้องไปหาหมวดหมู่หรือหน้าที่เกี่ยวข้องนะครับ และที่สำคัญมากๆ ทุกหน้าควรมี link ไปหน้าแรกเสมอ ห้ามลืม เด็ดขาด!!!

9. ได้เวลาออนไลน์
ถ้าคุณมีทุนทรัพย์เพียงพอ คุณควรเลือก Hosting ที่มี IP ให้สำหรับคุณคนเดียว ไม่ควรเลือกแบบ Virtual Host แต่ถ้าเบี้ยน้อย หอยน้อย เลือก ็Host ราคาถูกๆ แต่ไม่ค่อยล่ม ก็พอได้อยู่ เมื่อมี Hosting แล้ว เนื้อหาพร้อมแล้ว link sturcture ทำได้นวลเนียนดีแล้ว ก็ออนไลน์ออกสู่โลกกว้างได้เลยครับ และขอให้จำไว้เลยว่า ถ้าไม่พร้อม อย่าเพิ่งออนไลน์เด็ดขาด นอกเสียจากคุณไม่แคร์ และคุณมีวินัยเพียงพอที่จะเพิ่มเนื้อหาได้อย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมแนะนำให้คุณใจเย็นๆ รอให้พร้อมก่อนดีกว่าอยู่ดี

10. Submit
ได้เวลาของการโฆษณาแล้วครับ ขั้นตอนนีคือการเอาเว็บของคุณไป submit ตาม search engine ต่างๆ เท่านี้แหละครับ อย่าไปคาดหวังว่าจะได้รับการจัดอันดับในเร็ววันครับ คอยตรวจสอบบ้างสัปดาห์ละครั้งก็พอ

11. ตรวจสอบและติดตามผล
ทำได้โดยการวิเคราะห์ log ครับ ไม่ต้องไปสนใจข้อมูล graphics ที่สวยงามแต่ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไร ทำนอง "สวยแต่รูป จูบไม่หอม" ไม่เอาครับ logs file คือสิ่งที่เราต้องการ อย่าลืมดูว่า logs มีข้อมูล referer หรือเปล่า ถ้าไม่ก็ย้าย hosting ดีกว่าครับ ถ้าคุณอ่าน Logs File ไม่เป็น ผมแนะนำให้คุณจ้างโปรแกรมเมอร์ มาจัดส่วนตรงนี้ให้คุณดีกว่า บอกความต้องการเขาไปว่า อยากให้เขียนโปรแกรมวิเคราะห์ Log File ให้แสดงผลออกมาในแบบคุณอ่านรู้เรื่อง หรือหาๆเอาใน internet นี่แหละครับ ของฟรี ดีด้วย ยังมีอีกเยอะ เพียงแต่คุณจะหามันเจอหรือเปล่าเท่านั้นเอง

12. เอาอกเอาใจ Spider ให้มากๆเข้าไว้
ให้คุณคอยดูว่า มีแมงมุม (Spiders) มีล่าเหยื่อ (เนื้อหา) ของคุณไปติดหรือยัง? หมายความว่า Search Engine ส่ง Bot หรือ Spider เข้าไปเก็บข้อมูลเว็บไซต์ของคุณไปหรือยัง ตรวจสอบง่ายๆด้วยการใช้คำสั่ง site:www.seo-thai.com โดยเปลี่ยนจาก seo-thai เป็นชื่อโดเมนของคุณเอง เท่านี้ คุณก็จะได้รู้ว่า แมงมุมฮุบเหยื่อยัง :) ถ้ายัง ต้องรีบมาตรวจแล้วว่าผิดกฏของ Search Engine บ้างหรือเปล่า? โครงสร้าง Link ดีหรือไม่อย่างไร มีเว็บอื่นสร้าง link มาหาคุณบ้างหรือเปล่า ถ้าไม่มีเลย คุณก็ต้องหาพันธมิตรให้ได้ ไม่งั้นเว็บของคุณก็จะกลายเป็นเว็บร้างแน่ๆ

13. จัดหมวดหมู่ให้เรียบร้อย เน้นเข้าใจง่าย ใช้ง่ายเป็นหลัก
พยายามจัดหมวดหมู่ของ keyword ให้เป็นเรื่องเดียวกับ topic ของมันครับ ไม่มีอะไรมาก :)

14. Links จากเว็บประเภทเดียวกัน
ในกรณีที่เว็บของคุณได้รับการ index บน www.dmoz.org แล้ว ให้คุณพยายามขอแลก link กับเว็บในหมวดหมู่เดียวกัน ถ้าเขาไม่ยอมรับแลกก็ไม่เป็นไร ขอกับเว็บอื่นก็ได้ ใครก็ได้ที่ยอมรับการแลกกับเรา เน้นให้พยายามแลก link กะเว็บที่ค่อนข้างจะมีการ update อย่างต่อเนื่อง

15. เนื้อหาๆๆ
ควรจะมีหน้าที่มีเรื่องที่เด่นๆ ในแต่ละวัน โดยถ้าเป็นบท ความยาวๆ หน่อยจะดีมาก อย่าพยายามลงในเรื่องที่มีคนสนใจน้อย หรือเรื่องที่มันกว้างเกินไป อันนี้คุณต้องกลับไปค้นหนังสือวิชาภาษาไทยเรื่องการเขียนเรียงความมาอ่านสักหน่อยก็จะดีครับ เขียนให้อ่านง่ายๆไว้ก่อน สำนวนภาษาเป็นเรื่องเฉพาะตัว แต่ก็ฝึกกันได้ ขอให้เขียนทุกวันเป็นใช้ได้ เมื่อครบปีแล้ว คุณลองกลับมาอ่านบทความแรกๆที่คุณเขียน คุณจะได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทีเดียว

16. ลูกเล่น ต่างๆ
พยายามหลีกเลี่ยงลูกเล่นแปลกๆ ที่อาจจะสร้างความ สนุกให้ท่าน แต่นั่นอาจจะสร้างความรำคาญให้แก่คนที่เข้ามาชมก็เป็นได้ พยายามให้มันดูกลางๆ ไม่จืดหรือหวือหวาจนน่ารำคาญ

17. Link จากเว็บพันธมิตร
ข้อนี้จะต่างจากข้อ N ตรงที่อาจจะเป็น Link ที่ไม่ได้มาจากเว็บในประเภทเดียวกัน แล้วจำเป็นที่จะต้อง Link กลับไปหาเว็บนั้นๆด้วย เรียกง่ายๆว่า "การขอแลก Link" นั่นเอง อันนี้ผมแนะนำว่าคุณจำเป็นต้องเลือกสักหน่อย อย่า Link ไปสะเปะสะปะ เพราะถ้า link ปลายทางเป็น เว็บโป๊ ละก็ ภาพลักษณ์ของเว็บของคุณก็จะถูกมองเป็นเว็บแนวๆนั้นทันที เสียทั้งหน้าตา และ Search Engine ก็จะงงกับเว็บคุณอีกด้วย

18. บริการเสริม
เพิ่มบริการเสริมที่จำเป็นอย่างเช่น "ส่งเว็บนี้ให้เพื่อน" กระดานสนทนา หรือจดหมายข่าว เป็นต้น เท่านี้ก็แทบจะเพียงพอแล้ว อย่าเพิ่มลูกเล่นอื่นๆที่ไม่จำเป็น เพราะนั่นอาจจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการจ้างทำเว็บของคุณสูงจนเกินจำเป็น แถมยังเปล่าประโยชน์อีกด้วย

19. อย่ายัดเยียดโฆษณา!
ถ้าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ขายสินค้า ขอให้ระมัดระวังเรื่องการโฆษณาสักหน่อย อย่ายัดเยียดจนดูน่าเกลียด ต้องทำให้ดูแนบเนียนประมาณว่า ผู้เข้าชมได้รับชมโฆษณาไปโดยไม่รู้ตัว อย่างนั้นได้ยิ่งดี โปรดระลึกไว้เสมอว่า ผู้ชมเข้าเว็บของคุณเพราะต้องการเนื้อหา หรือ สินค้าที่ต้องการ ไม่ใช่ "โฆษณา"

20. เพิ่มเนื้อหา หรือ สินค้า บ่อยๆและสม่ำเสมอ
ควรเพิ่มเนื้อหา หรือบทความอย่างสม่ำเสมอ สิ่งนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำเว็บไซต์เลยทีเดียว


21. เรียนรู้เรื่อง Logs
หลังจากเปิดดำเนินการได้ 30-60 วัน ก็ได้เวลาที่จะต้อง ทำตัวเป็นนักวิเคราะห์ข้อมูลกันแล้วครับ ข้อมูลที่จะนำมาวิเคราะห์ก็ควรจะนำมาจาก Log Files นั่นเอง คุณควรจะคอยดูว่าผู้เข้าชมใช้ Keyword คำไหนเข้ามาสู่เว็บคุณ อาจจะเป็นคำที่คุณไม่ได้เตรียมไว้ (Optimize) ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณควรจะ Optimize เพิ่ม ยกตัวอย่างเช่น ผู้เข้าชม มักจะใช้คำว่า "orange citrus fruit" แต่ว่าคุณเตรียมเนื้อหาไว้สำหรับคำว่า "oranges" ฉะนั้นคุณควรจะเตรียมเนื้อหาสำหรับคำว่า "citrus" และ "fruit" แล้วก็ทำ Cross Links ถึงกัน

22. การกะระยะเวลา
เมื่อทำให้เว็บไซต์ได้รับความนิยมแล้ว ไม่ได้ทำให้คุณหมดหน้าที่ไป เพราะคุณยังคงต้องเฝ้าประคบประหงม เว็บของคุณให้ติดอันดับต่อไปอีก เหมือนขี่หลังเสือไม่อาจจะลงได้ การะวิเคราะความเป็นไปก็ยังค้องต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง อย่าลืมนะครับว่า กว่าที่ keyword ของคุณจะไปประกฎใน search engine อาจจะใช้เวลานานถึง 3 เดือน เช่นถ้าคุณต้องการให้ผลิตภัณฑ์ของ คุณปรากฏอยู่ใน search engine ในตอนต้นปี คุณอาจจะต้องทำ web ให้เสร็จก่อนหน้านั้นถึง 3 เดือนเป็นอย่างน้อย

23. เพื่อนและพันธมิตร
ในโลกความเป็นจริงคุณต้องมีเพื่อนหรือทำความรู้จักผู้คน ในโลกอินเทอร์เน็ตก็เช่นกัน คุณควรจะทำความรู้จักผู้คน โดยการเข้าที่กระดานสนทนา หรือ กระดานข่าวในเรื่องที่คุณสนใจ แต่ว่ากระดานสนทนาเกี่ยวกับ SEO ในบ้านเรายังไม่เห็นมี คุณต้องหากระดานสนทนาของประเทศ เช่น http://www.searchengineworld.com เป็น และเมื่อคุณเข้าไปแล้ว ก็ใช่ว่าควรจะอ่านอย่างเดียว คุณควรจะสมัครสมาชิก รับจดหมายข่าว แสดงความเห็นหรือสอบถามบ้าง อย่าลืมว่ากระดานข่าวไม่ใช่แค่เข้าไปแล้ว อ่านๆ อย่างเดียว แต่กระดานข่าวตอบคำถามคุณได้

24. อย่าลืมจดบันทึกไอเดียเด็ดของคุณ
หากคุณเพิ่มเนื้อหาใหม่ๆทุกวัน นั่นอาจจะทำให้คุณต้องใช้สมองจนเครียดพอสมควรทีเดียว เพราะฉะนั้นบางครั้งคุณอาจจะคลายเครียดโดยการเปลี่ยนกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ เช่น ออกไปเดินเล่น อาบน้ำ แต่เมื่อหลังจากการคลายเครียดแล้ว บางครั้งรายระเอียดที่คุณพยายามคิดมาตั้งนาน ก็พลันหายไปพร้อมกับความเครียด!! ผมแนะนำว่า คุณควรจะจดบันทึกไอเดียของคุณเอาไว้ทุกครั้งที่นึกออก หรือก่อนจะออกไปพัก หรือถ้าคุณมีเครื่องบันทึกเสียงก็ยิ่งดี มันจะช่วยคุณได้ในกรณีที่ไอเดียของคุณหลั่งไหลออกมาจนคุณจดตามไม่ทัน คุณอาจจะพูดๆๆ ใส่เครื่องบันทึกเสียง แล้วค่อยกรอกลับมาฟังใหม่ รับรองไอเดียเด็ดของคุณจะไม่สูญหายไป

25. ตรวจสอบผลการ Submission เมื่อผ่านไปได้ 6 เดือน
กลับไปดูว่าผลการ Submission กับ Search Engine ต่างๆ หรือ Directory ต่างๆ อย่างเช่น ODP นั้น Index เว็บไซต์ของคุณให้หรือยัง? ถ้ายัง คุณต้อง ReSubmit ไปอีกครั้ง คราวนี้จะมีโอกาสเพิ่มขึ้น เพราะคุณมีเนื้อหาหรือสินค้ามากกว่าเดิม 180 หน้าแล้ว :)

26. พยายามสร้างเนื้อหาที่ Search Engine ชอบ ทุกๆวัน
เนื้อหาที่ Search Engine ชอบเป็นอย่างไร? อธิบายง่ายๆก็คือเนื้อหาที่มีการคัดกรองมาอย่างดี มีบทนำ มีเนื้อหา มีบทสรุป เน้นในสิ่งที่ควรเน้น มีจำนวนคำต่อหน้าที่พอเหมาะ มีการอ้างอิงถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ได้รับความนิยม (มีจำนวน Link มาหามาก) ไม่ทำผิดกฏของ Search Engine ไม่ใช้ ลูกเล่นหรือ HTML ที่ซับซ้อนจนเกินกว่าที่ Search Engine จะเข้าใจได้ (Search Engine ไม่ฉลาดเท่า Browser)
จะว่ายากก็ไม่น่ายากเท่าไหร่นักที่จะทำให้ได้ครบทุกข้อ แต่ถ้าคุณคิดเนื้อหาไป แล้วก็ Optimize ไปด้วย ผมรับรองว่ายากแน่ๆ คุณควรจะคิดเนื้อหาให้ครบถ้วนก่อน จากนั้นให้ทำเว็บไซต์ด้วย HTML Code ง่ายๆก่อน แล้วจึง Optimize เป็นอันดับสุดท้าย ถ้าคุณทำได้ครบ สิ้นปี คุณจะมีจำนวนหน้าที่คุณภาพคับแก้ว เกือบ 400 หน้าทีเดียว!

ขั้นตอนทั้งหมด 26 ขั้นตอนนี้ ถ้าทำตามทั้งหมดแล้วรับรองว่าคุณจะเพิ่มยอดผู้เข้าชมให้คุณได้แน่นอน อยู่ที่ว่าคุณจะทำเต็มที่แค่ไหน? ตั้งใจอย่างต่อเนื่องแค่ไหน? อย่างน้อยๆก็ 500 - 2000 คนต่อวัน และหากคุณเพิ่มเนื้อหาดีๆ วันละ 4-5 บทความ หรือถ้าเว็บของคุณขายสินค้า คุณก็ควรจะมีรายละเอียดสินค้าแบบละเอียดในทุกๆสินค้าที่คุณขายบนเว็บของคุณ นั่นอาจจะทำให้ยอดผู้เข้าชมพุ่งไปถึง 15000 คนต่อวันก็เป็นได้ ขอให้คุณโชคดี และมีความสุขกับการพัฒนาเว็บไซต์ของคุณ



ดูเต็มๆที่ http://www.seo-thai.com




วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

100 คำด่า อาจจะมากกว่านั้น คิดกันได้.....

พอดีไปอ่านกระทู้หนึ่ง ในเว็บ ก็เลยไปเจอคำด่าสารพัด โหย พี่คิดคำกันได้งัยเนียะ
ผมยังคิดว่าทุกวันนี้เราใช้คำด่าไม่กี่คำที่ใช้กันแต่ละวัน แต่นี่ท่านพี่เล่น เป็นชุดๆเลย
สงสัยว่าง เลยจดไว้มันก็เลยเยอะ  อ้าวมาดูกัน...


อีสัสหมา อีหน้าหนาใจง่าย อีควายตาย หนอกแดก อีของแปลกประจำจังหวัด อีหมัดเห็บหมาอีหน้าชราแต่นมเด็ก

อีเซ็กไม่ได้มาตรฐาน อีนางมารหน้าขน อีแยบยลเรื่องตอแหล อีชอบแถเรื่องชั่วๆ อีส้นดานรั่วมั่ว..ไม่เลือก

อีเปลือกนอกเหมือนจะดี..ที่แท้ ก็อีกะรี่เน่าในอีอัปปรีย์ อีแดกของเหลือเดน อีเลวอีเวร อีเห็นแก่ตัว อีมั่วโสโครกสกปรก

อีค้างคกไฟ อีไพร่หน้าด้าน อีร่านไม่มีศักดิ์ศรี อีฝีหนองใน อีจังไงสถุน อีเนรคุณพวกพ้อง อีสองร้อยผัว อีชั่วแรดร่าน

อีสันดานส้นตีน อียีนกะรี่ อีผีอีปลวก อีพวกสัมภเวสี อีแมงหวี่ขี้ไม่มีให้ตอม อีจอมปลอมเจือกทุกสถานที่ อีกากีเห็ดสด

อีกบฎสลดหนังหน้า อีไร้ค่าทั้งใจกาย อีผีตายโหง อีโงกะรี่ อีชะนีหน้าหนา อีสัสอีชาติหมา ของเน่าๆเบ้าขึ้นรา อีห่าอีบ้าอี

อีหน้าสวย อีรวยทรัพย์อีคัฟ C อีขี้หอม อีผอมหุ่นดี อีมีดีทุกอย่าง อีอ้างว้างไม่เป็น อีที่ใครๆเห็นต้องกริ๊ดกราด

อีนางงามกลับชาติมาเกิด อีหุ่นระเบิดเซ็กซี่ อีปี้แล้วมัน อีเวลาคัน ยังน่ารัก อีมักดูเพอเฟค อีเสป็คของผู้ชาย

อีผีเปรต อีเอดส์กินไส้ อีปากไหปลาร้า อีหมาขี้เรื้อน อีคนเพื่อนไม่คบ อีหน้ากบสันดานหมา อีบ้าผู้ชาย อีคนขาย

อีกะรี่ขายตัว อีผัวละทิ้ง อีผู้หญิงหน้าด้าน อีผีบ้านผีเรือน อีคนเถื่อนโหดร้าย อีผู้ชายไม่ยอมคบ อีด่ากระทบไม่เลือกหน้า

อีหมาบ้าจังไง..อีหน้าปลวกป่วย อีโชว์ห่วยสำเพ๊ง อีซาเล๊งผุพัง อีสังคังข้างไข่ อีไหปลาร้าเน่า อีหอยเฉามือ

อีกระบือโรงเกลือ อีเหลือเฟือความตอแหล อีหน้าแหนหนอนทร่ย อีควายหม้อดิน อีหิดขึ้นตูด

อีหูดขึ้นหน้า อีปลาหมอสี อีชะนีหลงป่า อีห่ารากไส้ อีไส้เดือนดิน อีหินเซาะทราย อีควายลืมดง

อีคงกะพันความแรด อีตอแหลเซเว่น อีเห๊ดเน่าใน อีจังไงข้ามคลอง อีสมองปลวกป่วย

อีโชคไม่ช่วยเพราะความแรด อีหน้าแหนในหนอง อีลำยองเน่าใน อีเส้นใยขึ้นรา อีป่าดงดิบ

อีขยะมีพิษเน่าเหม็น อีเมนไม่มา อีคานทองนิเวช อีเศษปฏิกูล อีขยะมูลฝอย อีหอยแครงลวก

อีปลวกลืมถิ่น อีลิ้นสองแฉก อีแหกขาฟรี อีกะรี่ซ่องโจร อีห้อยโหนเหมือนผีอีเม้ย อีเชลยกรุงศรี

อีผีตาโขน อีโรงศพไร้ญาติ อีขาดวิตามิน อีดินดานดื่น อีผื่นขึ้นหลัง อีเมียกระหังโรงเย็น

อีรถเข็นผัก อีที่กักเก็บน้ำ อีสัมพเวสี อีนวลฉวีศพหมา อีชายคาข้างคลอง อีสมองปลาซิว

อีหิวกะรี่ชาย อีขายความคัน อีหาดสิมิรันร้าง อีขาถางยันรูหู อีปากไม่มีหูรูด อีหูดบนหัวนม

อีขนมหลอกเด็ก อีสะเก๊ดเงินขึ้นหน้า อีชะนีไม่ได้นำพา อียามาฮ่าเครื่องพัง อีถนนลูกรัง

อีกระดังงาลนไฟ อีหมาในมีพิษ อีดัดจริตเปนสันดาน อีห่านไม่มีตีน อีกระทิงชนไม่เป็น

อีสวยโฟโต้ช๊อบ อีโอท๊อบเลหลัง อีกะลังผุพัง อีลิงกังในดงควาย อีสมายบั๊ฟฟาโร่ อีตะโก้เน่าในรังไข่

อีกะรี่ไม่มีที่ไป อีไหปลาร้าพัง อีขนมปังไม่มีราคา อีมาม่าไม่มีออ.ยอ อีสอพอตลอดเวลา

อีรำมะนาดเน่าใน อีตะไบเล๊บขบ อีสมทบความเปนควาย อีผีเดียวดาย อียายนมยาน อีกบาลเปื่อย

อีก๊าซเฉื่อยไร้คุณภาพ อีเจ้าเล่ห์มารยา อีพยาธิรูตูตัน อีขยันปกปิด อีจิตตกต่ำ อีละยำตัวแม่ อีรักแร้ดำ

อีหำไม่เอา อีเห่าเสาไฟฟ้า อีบ้าคาในรู อีรูหูเปนหนองใน อีตะไคร่น้ำบาดาล อีสังคังในกบาล

อีร่านอัพรู อีรูตูดไม่มีขน อีร่องหนเป็นผีจีน อีหน้าปลาตีน อีคลอรีนน้ำประปา อีนาข้าวไม่มีเกี่ยว

อียกขาเยี่ยวเรี่ยราด อีหน้ากันสาด อีตลาดวอดวาย อีน้ำลายบูด อีหูดในร่มผ้า อีฝ้าในลูกกะตา

อีสันดานช้างพัง อีกะบังลมหน้าหนา อีเชื้อราสกปรก อีขี้หดหลับรูตูด อีหน้าบูดเปนข้าวเน่า อีมันเผาไม่สุก

อีปลาดุกเหม๊นคาว อีสาวสองวัน อีนมดันเพราะไม่มี อีชะนีไม่มีขน อีไฟลนตูดตัน อีเครื่องปั่นความแรด

อีแกงเน่าค้างคืน อีกลื่นข้าวไม่ลง อีปลงไม่ลงความตอแหล อีรักแร้เหม๊นเขียว อีถนนราดยาง

อีถนนทางหลวง อีหอยร้อยพวง อีสมองกลวงเกิดพรรณนา อียาผีบอก อีดอกหน้าวัว อีบัวไม่พ้นน้ำ

อีปลวกดำดิน อีผู้ชายไม่กล้าเลี้ยว เพราะมันเสียวมรึงเข้าสิงมัน


อะไรจะขนาดนั้น....ใครโมโหใครด่าไม่ทัน เลือกเอาไปใช้สักชุดก็ได้นะครับ



2 แบบของ Hard reset และ Flash rom ของ Ainol novo7 Advanced II

Ainol novo 7 Advanced II ทำ Hard Reset เคยทำ Factory reset ขณะแบตอ่อน พอทำไปแล้วมันจะ Restart ตัวเอง
แต่รีขึ้นมาแล้วดับ ตอนแรกก็นึกว่าไม่สำเร็จ ก็ลองเปิดอีกครั้ง พอเปิดเข้ามาแล้วกลับเปิดไม่ขึ้น
คราวนี้ใจเสียแล้ว เอาละว้า ทำไมมันBootขึ้นแต่ไม่เข้าหน้าโปรแกรม ICS (คือพอเปิดเครื่องมันก็แสดงขั้นตอนการBoot อยู่ ตั้งแต่เห็น Logo Android เขียว และฉากโลโก้ Ainol Advanced 7 จนจบ แล้วหลังจากนั้นก็ดับไปเลย)

ต่อจากนั้นก็นึกไปนึกมาว่าคงจะไป Factory Reset ระหว่างแบตหมดแน่ๆ มันเลยBoot ค้างอยู่ตลอด

กรณีนี้ต้อง ทำ Hard Reset โดยใช้ปุ่มบนตัวเครื่องแทน เพราะว่าเราเข้าไป ทำในส่วน Factory Reset ไม่ได้อยู่แล้ว น๊จ๊ะ

กรณีต้อง Hard reset (ฮาร์ด รีเซ็ท)
กดปุ่มโค้งกลับ พร้อมกับกดปุ่ม power ค้างไว้
จะเจอ Android หงายท้อง แล้วให้กดปุ่มโค้งกลับ ก็จะเห็น Android system recovery (3e)

ในกรณีที่เจอ android หงายท้อง
กดปุ๋ม โค้งกลับ

ปุ่ม ขีดๆ คือเลื่อนขึ้น
ปุ่ม บ้าน คือเลื่อนลง
ส่วนปุ่ม สั่งการ(ปุ่มตกลง) คือปุ่ม power

ทำ Flash rom

ดาวโหลดและแตกไฟล์เป็นFolder ชื่อ LiveSuitPack
ขางในFolder คลิกเปิดไฟล์ LiveSuit.exe
คลิกตามคำแนะนำไปเรื่อยๆ และแนบไฟล์ Firmware ที่โหลดมาสุดท้ายคลิก Finish

1 ปิดเครื่องก่อน
2 ถอดสาย USB ออกก่อน
3 กดปุ่ม Home ก่อนและค้างไว้ตลอด ขณะนั้นก็เสียบสาย USB ด้วย
4 แล้วกดปุ่ม Power ประมาณ 6-10 ครั้ง
5 ดูหน้าจอคอมจะแสดงเหมือนให้ USB ต่อกับคอมและเครื่อง ให้สังเกตตรง Device manger ชื่อDriverที่ต่อ USB คือ XXX(จำชื่อไม่ได้เพราะมันจะทำการต่อระหว่างดำเนินการที่จุดนี้ แต่พอติดตั้งเสร็จมันจะไม่แสดงอีกเลย)
****ข้อตรงนี้สังเกตได้ยากมาก เพราะลองทำหลายทีแต่ก็ไม่ผ่านเพราะว่า พอกดปุ่ม Power ครบ 6-10 ครั้ง แล้วก็ไม่แสดงอะไรให้เห็น ก็เพราะว่ามันหาDriver เพื่อเชื่อมต่อไม่ได้มันก็เลยไม่ทำงาน ก็เลยดูเหมือนทำไม่ได้ จนปัญญาไปเลย

6 จะมีหน้าจอให้ Format แล้วถามย้ำ ให้ตกลง Format เลยไม่ต้องกลัว
เสร็จแล้วให้ Reboot เครื่องง

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

3 โปรแกรมออกแบบ บ้านที่แนะนำให้ใช้ มันง่ายมาก...น๊ะจ๊ะ..


หลังจากที่หลายๆ บ้านประสบปัญหาจากน้ำท่วมกันไป ช่วงนี้ก็เป็นช่วงฟื้นฟูทั้งจิตใจและทั้งบ้านของตัวเอง ธุรกิจหนึ่งที่น่าจะได้รับความนิยมอย่างมาก ก็คือ ธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งบ้าน
     
หลายคนที่มีบ้านเป็นของตัวเองก็มักจะมีภาพฝันในใจว่า ถ้าฉันมีบ้าน ฉันอยากให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ แรงบันดาลใจก็สามารถหาได้ตามหนังสือแต่งบ้าน หรือเดินตามโชว์รูมเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป แต่บางครั้งด้วยข้อจำกัดของเนื้อที่หรือลักษณะของบ้านที่แตกต่างกัน ก็อาจทำให้การตกแต่งบ้านด้วยจินตนาการอาจไม่เหมือนอย่างที่ฝันไว้นัก
       
โดยทั่วไป คงต้องจ้างสถาปนิกเพื่อมาตกแต่งภายในให้ได้ตามที่เราต้องการ แต่ด้วยงบประมาณอาจมีจำกัดและบางคนก็หมดเงินไปกับน้ำท่วมครั้งนี้ไปมากแล้ว จนไม่สามารถหาคนมาแต่งบ้านให้เราได้ และโปรแกรมออกแบบห้อง 3 มิติก็ราคาแพง แถมใช้งานยากสำหรับระดับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป เราก็คงต้องพึ่งพาเครื่องมือออกแบบฟรีที่มีให้ใช้ในอินเทอร์เน็ตกัน

     
มาดูที่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่เพิ่งเปิดตัวสาขาใหม่ในไทยอย่าง IKEA ที่นำเอาคอนเซ็ปท์การให้ลูกค้าช้อปปิ้งด้วยตัวเองมาประยุกต์ลงในเว็บไซต์ด้วยการมีโปรแกรมออกแบบห้องสำหรับความต้องการของลูกค้าด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องไปปรึกษามัณฑนากร หรือสถาปนิก ทำให้คนที่ฝันอยากมีห้องอย่างที่ต้องการไม่ต้องลำบากในการอธิบายภาพตัวอย่าง หรือแม้แต่เซฟรูปที่เราตกแต่งไว้ในเซิร์ฟเวอร์หรือพิมพ์ออกมาตอนที่เราไปช้อปปิ้ง ก็จะทำให้สะดวกยิ่งขึ้น

โปรแกรม Homeplanner ของ IKEA จะมีทั้งหมด 4 ห้องให้เลือก คือ ห้องครัว(ชุดห้องครัวบิวท์อิน), ห้องนั่งเล่น (ตู้วางทีวี), ห้องนอน (ตู้เสื้อผ้า), และห้องเด็ก(ตู้เสื้อผ้าเด็ก) ก่อนอื่น คุณต้องสมัครสมาชิกของเว็บไซต์ก่อน ซึ่งจะไม่ใช่การสมัครเพื่อรับข่าวสารตามปกติ การลงทะเบียนในเว็บไซต์ก็เพื่อประโยชน์ในการบันทึกข้อมูลของการออกแบบของคุณไว้ เพื่อนำมาใช้เวลาที่คุณแวะไปซื้อจะได้ดึงข้อมูลมาจากเซิร์ฟเวอร์ เพราะคอมพิวเตอร์ที่สโตร์ไม่สามารถเปิด USB, Harddisk หรือ แผ่นซีดีได้




สำหรับความต้องการพื้นฐานของระบบคือ ต้องเป็นคอมพิวเตอร์ ที่ทำงานด้วยความเร็วอย่างน้อย 1 กิกกะเฮิรตซ์ (GHz) การ์ดจอ 32 MB ความละเอียดในการแสดงผล (Display Resolution) 1024 x 768 Pixel , อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง, ระบบปฏิบัติการวินโดว์ XP หรือรุ่นที่สูงกว่าและ Mac OS X 10.5 Leopard หรือสูงกว่า (Intel เท่านั้น) บราวเซอร์ที่ใช้ได้คือ Internet Explorer 7.0 หรือ Firefox 3.5.7 หรือสูงกว่า หรือ Safari 4.0.3+ ปลั๊กอิน (plug-in) ที่ระบบรองรับ: ถ้ายังไม่มีปลั๊กอินดังกล่าว ระบบจะปรากฎข้อความให้ดาวน์โหลดอัตโนมัติ การติดตั้งปลั๊กอินสำหรับ Mac โปรดปฏิบัติตามคำแนะนำบนหน้าจอ และอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.IKEA.co.th


มาเริ่มออกแบบกันเลย คุณสามารถเลือกได้ว่าจะออกแบบจากแบบที่มีอยู่แล้วหรือจากห้องว่างๆ ก็ได้ โดยสามารถปรับแต่งขนาดของห้อง เลือกประตู, เสาหรือองค์ประกอบพื้นฐานอื่นๆ ของห้องจากเมนูด้านซ้าย คือ Room Layout ซึ่งสามารถกำหนดจุดของท่อน้ำทิ้ง ก๊อกน้ำและแผงไฟได้เลย

แต่สำหรับประเทศไทยไม่สามารถเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ เนื่องจากไม่มีการจำหน่าย เพียงแค่เลือกตำแหน่งที่จะวางเฟอร์นิเจอร์ เลือกชนิดที่ต้องการแล้วลากลงไป ซ้าย ขวา หน้า หลังตามแต่ตำแหน่งที่คิดว่าเหมาะ จะดูเป็นภาพ 2 มิติ หรือ 3 มิติก็ได้ ซึ่งภาพ 3 มิตินั้น หากเราลองเลื่อนภาพเฟอร์นิเจอร์เข้าหรือออกจากตัวเรา ขนาดจะเล็กลงหรือใหญ่ขึ้นตามมุมมอง

หลังจากนั้นก็ทำการบันทึกข้อมูลลงไป ซึ่งทางระบบจะเก็บข้อมูลไว้ หากไปเปิดที่สโตร์ก็จะสามารถดึงเอากลับมาใช้ได้ทันที และที่สำคัญคือ จะมีรายการสินค้าและราคาปรากฎขึ้นหลังจากที่เราตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เพื่อสะดวกต่อการคำนวณงบประมาณในการแต่งห้อง อาจจะตัดทอนสินค้าบางชิ้นออกไปเพื่อให้อยู่ในงบประมาณได้ง่าย แถมยังสามารถเช็คสต็อกของได้ก่อนอีกด้วย จะได้ไม่ไปเก้อ (ปัจจุบัน ทางเว็บไซต์จะอัพเดททุกตี 1 แต่ระบบอาจไม่เสถียรนัก หรือสินค้าที่เช็คแล้วว่ามี
     
อาจมีคนเหมาไปก่อนหน้าที่คุณมาก็ได้ ต้องลองสอบถามดูกับทางเจ้าหน้าที่นะคะ



อีกหนึ่งโปรแกรมออกแบบฟรีออนไลน์ จากเว็บ www.homestyler.com รูปแบบจะคล้ายกับของ IKEA และคล้ายกับการเล่นเกม Sims ที่คุณสามารถลองเลือกออกแบบห้องได้ตามที่คุณต้องการ แต่ปัญหาคือ คุณอาจต้องหาแบบเฟอร์นิเจอร์ที่มีอยู่จริงให้เหมือนกับภาพร่างที่ทำเอาไว้ ระบบการเก็บข้อมูลก็คล้ายกับ IKEA คือ ต้องสมัครกับทางเว็บก่อน แต่สามารถใช้ ID ของ Social Network หรือ Email มาใช้สมัครได้ด้วย ทั้ง Yahoo!, Facebook, Twitter, Google, Windows Live ID
     
รูปแบบการใช้ก็แค่ลากแล้ววาง จะเปลี่ยนจากมุมมอง 2 มิติ เป็น 3 มิติก็ง่าย ไม่ซับซ้อนเท่าการออกแบบห้องครัวของ IKEA และสามารถออกแบบชั้นบน ชั้นล่าง ห้องน้ำ ห้องทำงาน ห้องทานข้าวหรือห้องซักล้างก็ยังได้ แต่ประเด็นที่เว็บนี้ยังเปิดโอกาสให้ใช้ได้ฟรีก็เพราะแบรนด์สินค้าสามารถเข้ามาเป็นสปอนเซอร์ในการเป็นช้อยส์ให้ลูกค้าได้เลือกใช้ แถมยังมีรูปสามมิติเหมือนผลิตภัณฑ์จริงเพื่อลองวางในแปลนได้อีกด้วย เมื่อออกแบบเสร็จสามารถเลือก Snap ภาพเก็บไว้ หรือแชร์ต่อไปยังเว็บอื่นๆ ได้ง่าย เพียงแค่คลิกไอคอนบริเวณมุมขวาล่าง





       และอีกหนึ่งเครื่องมือสุดท้าย คือ Google Sketchup ซึ่งตอนนี้เป็นเวอร์ชั่น 8 แล้ว เป็นโปรแกรมที่สามารถสร้างสรรค์ภาพสามมิติสำหรับนักออกแบบด้านต่างๆ โดยไม่ต้องใช้โปรแกรม Autocad หรือ 3D ให้ยุ่งยาก แต่เหมาะกับผู้ที่มีพื้นฐานด้านการทำภาพสามมิติมาบ้าง เพราะฟังก์ชั่นต่างๆ คล้ายกับการใช้โปรแกรมมืออาชีพทีเดียว มักจะเป็นการสร้างโครงสร้างของบ้านหรือตึกภายนอก และการตกแต่งภายนอกของบ้านได้ด้วยตัวคุณเอง สามารถใช้สถานที่จริง

โดยใช้ปุ่มฟังก์ชั่น Google Earth เพื่อระบุพิกัดจริงได้ด้วย สามารถ Export ไฟล์ออกมาได้ทั้งแบบ 2มิติ และ 3มิติ ซึ่งสำหรับคนที่มีหัวทางด้านนี้ หรืออยากลองสร้างบ้านของตัวเองที่เคยฝันไว้ แต่ใช้โปรแกรมออกแบบสามมิติไม่เป็น ก็น่าจะลองเล่นโปรแกรมนี้ดูได้ หากต้องการฟีเจอร์ที่มากกว่าแบบทดลองใช้ ก็สามารถซื้อ Sketchup Pro ได้ ในราคา 495USD (แต่มีส่วนลดพิเศษให้ 100USD) ทำให้คุณสามารถ export ไฟล์ได้หลายนามสกุลยิ่งขึ้น มีฟังก์ชั่นในการใช้งานร่วมกับโปรแกรมอื่นๆ ได้มากขึ้น หากต้องการเอาดีทางด้านการออกแบบก็น่าลองใช้ดู (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://sketchup.google.com)
     
จากที่กล่าวมา แค่ไม่กี่โปรแกรมออกแบบออนไลน์ที่ทำให้คุณสามารถออกแบบตกแต่งบ้านของคุณได้ง่ายขึ้นด้วยตัวคุณเอง แต่คุณยังสามารถเอาไอเดียไปต่อยอดเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจได้อีกด้วย

ลองคิดเล่นๆ อย่างเกม The Sims ที่เมื่อหลายปีก่อน IKEA ได้ลองเข้าไป Tie in ก็ทำให้คนมองเห็นภาพของสินค้าได้มากขึ้น (The Sims 2: IKEA Stuff ) หรือแอพพลิเคชั่นของ SB Home ที่สามารถออกแบบและจัดวางเฟอร์นิเจอร์ตามสไตล์ที่คุณต้องการได้จากมือถือ ไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่ แถมยังใช้ภาพห้องจริง เพื่อลองวางผังได้อีกด้วย หรือเว็บ Homestyler ที่สามารถขายโฆษณาแบรนด์สินค้าตกแต่งบ้านได้อย่างมากมาย ทำให้ผู้บริโภคสามารถเห็นภาพของสินค้าจริงภายในห้องที่ออกแบบได้เอง ตัวเลือกของแบรนด์มีเยอะขึ้น และสามารถทำได้ง่ายด้วยตัวเอง โดยผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องเสียเงินค่าจ้างออกแบบอีกด้วย
หรือในอีกกรณี คุณอาจใช้เครื่องมือออกแบบออนไลน์ฟรีเหล่านี้ในการใช้ไอเดียเพื่อช่วยให้ผู้ที่อยากมีบ้านในฝันออกมาเป็นรูปร่างด้วยการรับจ้างออกแบบก็ได้ (แต่ต้องทำผลงานเป็น Portfolio ก่อนนะ) ยังมีไอเดียในการทำธุรกิจบนโลกออนไลน์อีกมากมายให้คุณได้เลือกที่จะทำเงิน


From: manager.co.th





2 ข้อพิจารณาการเลือกซื้อ เทมเพลท Template (Joomla)


การซื้อเทมเพลท ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายและดีที่สุด
เพราะร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อนำมาใช้งานจริง มันจะไม่เป็นอย่างที่คุณเห็นจากในตัวอย่าง ประการสำคัญเมื่อนำมาใช้กับภาษาไทย




เทมเพลทที่มีขาย มี สอง ลักษณะ
1. เทมเพลทเปล่า
เมื่อซื้อและได้มาแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือ ติดตั้งและต้องเข้าไปแก้ไขโค้ดใน CSS ไม่มากก็น้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่นั่นก็ยังคงไม่ใช่หลักประกันว่า จะออกมาเหมือนในตัวอย่างที่เห็น หากการวางตำแหน่งของ Module ไม่เหมือนกัน

2. เทมเพลทพร้อมด้วย Component, Plugin, Module
เทมเพลทประเภทนี้ ได้มาแล้วต้องทำการติดตั้งใหม่ เนื่องด้วยเทมเพลทเป็นเทมเพลทที่มาพร้อมกับ Joomla!

จากนั้นจึงทำการแก้ไขข้อมูลให้เป็นภาษาไทย ซึ่งปัญหาของมันก็คือ คุณอาจไม่ได้ Joomla! ในรุ่นที่คุณต้องการ อีกทั้งยุ่งยากมากด้วยเมื่อคุณต้องการอัพเกรด Joomla! ในขณะที่คุณอาจยังไม่รู้จัก Component, plugin และ Module ซึ่งติดมาพร้อมกับเทมเพลท ดีพอ

ทางเลือกที่ดีสำหรับคุณจึงเป็น...
1. หากมีงบน้อย หาเทมเพลทฟรีที่ถูกใจ และค่อยๆปรับปรุงแก้ไขให้ตรงกับความต้องการด้วยตัวเอง

2. หากมีงบมาก จ้างมืออาชีพออกแบบและสร้างให้ ตัวเลือกนี้ลงทุนเยอะ แต่โอกาสสมหวังมีมาก...และอาจถึงร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนที่คุณจ้าง ว่า มืออาชีพจริง หรือ มืออาชีพเทียม





สรุปแล้ว
ถึงมีขายก็ไม่น่าซื้อ แต่เชื่อว่า ตัวแทนในเมืองไทย ไม่มีแน่นอน ด้วยสินค้าประเภทนี้ ไม่ใช่สินค้าที่สามารถวางจำหน่ายได้ทั่วไป ดังนั้น สุดท้ายแล้ว คุณก็ยังคงต้องเข้าไปดำเนินการสั่งซ์้อด้วยตัวเองจากในเว็บไซต์หลักอยู่ดี




วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทำ Adsense+SEO ยังไงไม่ให้ผิดหวัง

พอดีผมไปอ่านแล้วรู้สึกเหมือน จขกท. ต้องการคำแนะนำที่ดีในการทำ Adsense และเหมือนจะยังไม่ได้คำตอบ ซึ่งหากผมจะตอบเป็น Reply ในกระทู้นั้นเลยก็กลัวเพื่อนๆ มือใหม่หลายคนจะไม่ได้อ่าน เพราะผมคิดว่าสิ่งที่ผมบ่นๆ ข้างล่างนี้มันน่าจะมีประโยชน์สำหรับเพื่อนบางคน จึงขออนุญาติตั้งกระทู้ใหม่คับ

ผมเองก็ทำ Adsense ได้ไม่นาน รายได้ไม่พอกิน อาจจะแนะนำอะไรได้ไม่มากเท่ากับพี่ๆ ที่รายได้ซื้อสนามฟุตบอล แต่สิ่งที่พูดนี้ก็อยากจะอธิบายให้เคลียร์สำหรับมือใหม่ อ่านง่ายๆ Step by Step ไม่กั๊กอะไรมากคับ (กั๊กไว้ใช้เองนิดๆ พอ)

1. เริ่มต้น Adsense

เพื่อนหลายคนคงรู้ดีอยู่แล้วว่าการทำ Adsense เราจะมีหน้าที่เป็น Publisher (ผู้เผยแพร่โคนา) จาก Adwords ที่ Advertiser (ผู้ลงโคนา) ลงไว้กับ Google เพราะฉะนั้นโคนาที่เพื่อนๆ จะได้มาติดที่เว็บของตนเองนั้น ก็จะมาจากผู้ลงโคนาเหล่านี้นั่นเอง ถ้าวันใดไม่มีผู้ลงโคนา วันนั้นจะเป็นวันสิ้นโลกทันที นั่นคือสาเหตุที่เพื่อนพี่ๆ หลายๆ คนในนี้ไม่อยากให้เราทำร้าย Advertiser ด้วยการ แลกคลิ๊ก, โกงคลิ๊ก Private, คลิ๊ก MLM, หรือเข้าร่วมเป็นระบบเครือข่ายที่ทำให้ Advertiser เสียหาย เพราะเมื่อใดที่ Advertiser ได้ทราฟฟิคไม่ดี ที่ไม่บริโภคสินค้าในเว็บเขาเลย เขาจะเอาตังที่ไหนมาลง Adword อีก หลายคนบ่นว่าถ้าวันไหนไม่มีคนลง Adwords แล้ว Adsense จะเอาโคนาที่ไหนมาให้เราลง ไม่ต้องกลัวคับ ถ้าถึงวันนั้นจริงผมจะเป็นคนลง Adwords เอง ถ้าไม่มีคน bid ผมจะลงค่าคลิ๊กให้มันถูกกว่า Nipa อีก เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่า Advertiser ไม่มีวันตายแน่นอน แต่คนที่จะตายคือคนทำ Adsense ปัญหาสำคัญคือราคา bid จะ drop ลงมามาก ทำให้ค่าคลิ๊กซื้อฮอลล์เม็ดนึงยังไม่ได้เลย จุดนี้ล่ะคับเป็นสิ่งที่น่ากังวลที่สุดที่อยากให้เพื่อนมือใหม่หลายคนมีความรับผิดชอบ และคำนึงถึงผู้ลง Adwords กันด้วย ในเมื่อเราทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนสินค้าและบริการของเขา ก็ควรทำให้เขาได้ผลประโยชน์สูงๆ ถ้าสินค้าหรือบริการมันขายได้ มันก็มีกำไรงาม เมื่อมันกำไรงาม มันก็จะมีคนทำธุรกิจนั้นแข่งกัน เมื่อมันแข่งกันมันก็จะ bid ราคา Adwords สูงขึ้น มูลค่าคลิ๊ก Adsesne เราก็จะสูงขึ้นตาม (ถ้าใครอ่านแล้วไม่เข้าใจก็สมมุติว่าเข้าใจละกันนะคับ)

2. เลือกทำเว็บแบบไหน ใช้ Keywords อะไร

เพื่อนหลายคนแนะำนำว่าควรเลือกทำในเรื่องที่ตนเองชื่นชอบ ผมขอเสริมให้นิดนึง ว่าไอเรื่องที่เราชอบนั้นมันต้องทำเงินได้ด้วย และได้เยอะด้วย (ได้อย่างเดียวไม่พอต้องเยอะด้วยนะ สำคัญ!) หากเพื่อนๆ อยากรู้ว่าเรื่องไหน Keywords อะไรราคาเท่าไร ผมก็แนะนำ Tool ง่ายๆ ใช้พอเช็คราคาคร่าวๆ ได้ที่นี่คับ https://adwords.google.com/select/KeywordToolExternal ใส่ Keywords ลงไปเลยคำละ 1 บรรทัด แล้วลองให้ Tool มันแนะนำดู สิ่งที่เราจะได้ก็คือแนวโน้มด้านราคาของคำนั้นๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์และวางแผนการทำ Adsense ของเราคับ

เพื่อนอีกหลายคนยังแนะนำอีกว่าไปทำเว็บต่างประเทศเหอะ คลิ๊กแพง..เว็บจองโรงแรม คนนู๊นก็ทำ รายได้ดี... ผมก็สนับสนุนคับ แต่อยากเตือนเพื่อนมือใหม่หลายๆ คนไว้ว่าในด้านของ SEO และ Web App. สำหรับการแข่งขันกลุ่มพวก เว็บท่องเที่ยว, ซอฟต์แวร์, รีวิว และโรงแรมนี้แรงมาก หลายคนที่ยังไม่เคยทำ SEO ใน .com เป็นพื้นฐาน ควรเลี่ยงไปทำเว็บอื่นดีกว่าคับ เพราะพวกนี้มันไม่ได้แข่งกันแต่ .com เท่านั้น ยกตัวอย่างก็มี .co.uk .ca ที่เรียกค่าคลิ๊กแพงๆ ให้เราได้ แต่ก็ยังมีคู่แข่งที่ทำ SEO รอสอยเราอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

ฉะนั้นตรงจุดนี้จึงอยากให้เพื่อนๆ ลองวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เราถนัด เราทำได้ และมันมีโอกาสทำเงินได้สูง และโอกาสนั้นต้องไม่ซ้ำกับคนส่วนมาก ที่พบเห็นคือหลายๆ คนประสบความสำเร็จในธุรกิจ Keywords เหล่านั้น แล้วเราก็ไปทำบ้าง ... ซึ่งบางทีเราอาจจะหันไปทำในช่วงที่คำนั้นอยู่ในช่วงแข่งขันสูง (สู้ได้ยาก) หรือช่วงขาลง (ทำเงินไม่ได้) และก็มักจะเห็นความผิดหวังตามมากับหลายๆ คนเสมอ ที่เดินทางผิด

3. วิเคราะห์คู่แข่ง

ได้ Keywords หรือเรื่องที่จะทำเว็บไซต์เราแล้วทีนี้ก็มาดูคู่แข่งบน Search Engine คับ ใช้ Keywords ที่เลือกค้นเข้าไปดูเลย แล้วดูทุกเว็บตั้งแต่หน้า 1 ไปจนถึงหน้า 2-3 แล้วก็วิเคราะห์ว่าเรามีระบบดีๆ แบบนี้ใช้ไหม เว็บเขาใหญ่เพียงใด ฐานลิงค์เป็นยังไง SEO เว็บเขาเป็นยังไง พอสู้ได้ไหม ถ้าคิดว่าสู้ไม่ได้ก็เลือกไปทำคำอื่นๆ แต่ถ้าดูแล้วจนหน้า 3 ก็คิดว่าพอสู้ได้ หน้า 4, 5 ... ไม่จำเปนต้องดูก็ได้คับ เพราะมันคงไม่เก่งกว่าไอพวกหน้า 1 2 3 แน่ (ถ้าเก่งมันก็ขึ้นไปแล้วใช่ป่ะ)

อ้างอิง
พวกเครื่องมือที่ใช้ทำ SEO วิเคราะห์คู่แข่งคร่าวๆ ก็เป็น Add-on ของ Firefox นะคับ เช่น SEO for Firefox
http://tools.seobook.com/firefox/seo-for-firefox.html
ตัวนี้เป็น SEO Quake คับ คล้ายกัน ใช้นาน ใช้ทน แต่แม่มโหลดกาจาย
https://addons.mozilla.org/en-US/firefox/addon/3036
ตัวนี้เป็น Kgen ช่วยวิเคราะห์ความหนาแน่นของคำหรือ content ในหน้าเว็บเพจ หลายๆ คนไม่ได้ใช้แต่ผมต้องใช้เวลาเขียนเว็บให้ลูกค้าที่ต้องการนำไปทำ SEO ต่อ สำหรับในแง่ Technicial Design ฝั่ง Server หรือโครงสร้าง HTML/XHTML ที่เราคาดว่าจะให้ Robots วิ่งมาเจออะไรบ้าง ก่อน-หลัง ตรงนี้เราสามารถสลับตำแหน่ง Content หรือป้อนข้อมูลอุดทางตามนิสับ Robots จากประสบการณ์เขียนเว็บที่เรามีมาได้ โดยขณะที่ Output หน้าเว็บแสดงผลเหมือนกัน สำหรับในแง่ SEO ทูลตัวนี้ก็ช่วยวิเคราะห์คำได้ดีพอสมควรคับ
https://addons.mozilla.org/en-US/firefox/addon/4788


4. ตลาดเราอยู่ที่ไหน

อยู่ที่ tarad.com คับ (อันนี้ไม่เกี่ยวคับแค่แซวๆ) ... ตรงนี้เหมือนเป็นจุดกำหนดรายได้ของเราเลยก็ว่าได้ ก็คือเราทำเว็บเนื้อหาเหล่านี้มาสำหรับใคร กลุ่มไหน เราจะได้เลือกทำ SEO เฉพาะจุดได้ถูกต้องด้วยคับ ข้อนี้ขอพูดสั้นๆ พอ เพราะหลายคนคงตระหนักเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว


5. โปรโมทเว็บไซต์อย่างไร

สัมพันธ์กับข้อ 3 นะคับ การทำ SEO แบบไม่เหนื่อยเกินไปก็คือควรเลือกโปรโมทเว็บไซต์ให้ทุกที่ ถูกเวลา ยกตัวอย่างเราทำเว็บไซต์เนื้อหามาเพื่อวัยรุ่น เราก็ไปหาแหล่งวัยรุ่นพวก hi5, twitter, facebook, multiply, myspace อื่นๆ หรือสถานที่ๆ คาดว่ากลุ่มเป้าหมายเรามักจะชอบเล่นเราก็ไปแจมด้วยเพื่อโปรโมทเว็บไซต์ไปในตัว การโปรโมทเว็บไซต์ที่ดีก็ควรได้ทราฟฟิคกลับมาจากที่ๆ เราโปรโมทเอาไว้ด้วย การ spam มั่วๆ ที่ไม่ช่วยให้เราได้ทราฟฟิคคนเลยนอกจากบอท บางทีมันก็ทำให้เราเหนื่อยเกินไปโดยได้ผลตอบแทนกลับมาไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร (ซึ่งหลายคนก็กำลังเป็นอยู่ใช่ไหม)

ช่องทางโปรโมทเว็บไซต์ช่องทางอื่นก็มีมากมาย นอกจาก SEO ก็มีการโฆษณา ผ่านสื่อออนไลน์, วิทยุ, หนังสือ, นิตยาสาร, poster และตามงานต่างๆ ที่เราพอทำได้ จริงๆ มีวิธีโปรโมทเยอะแยะมากกว่าทำ SEO นะคับ บางทีการตามคนอื่นมากไป มันก็ทำให้เราไม่พัฒนาได้เช่นกัน

บางเว็บไซต์ก็พิมพ์เสื้อออกแจกสมาชิกนะคับ ส่งฟรีทั่วประเทศ ข้างหลังเสื้อเป็นชื่อโดเมน มันใส่ไปที่ไหน คนก็เห็น ก็เป็นการโปรโมทเว็บทั่วประเทศที่ไอเดียดีอีกอย่างหนึ่ง



6. Social Network แนวคิด Web 2.0-3.0

เมื่อเว็บไซต์เราทำเสร็จแล้ว มีการโปรโมทที่ดีแล้ว มีรายได้ มีเป้าหมายบ้างแล้ว การพัฒนาเว็บไซต์ตามแนวคิด Social Network นี้เป็น Step ที่ทำให้เราก้าวสู่ Network ที่แข่งแกร่งได้ การทำเว็บไซต์ใดๆ ที่ทำให้คนเข้ามาแล้วเข้ามาอีก นี่คือความสำเร็จในข้อ 6. ที่ผมกำลังพูดถึงนี้ จริงๆ ผมว่าเว็บบอร์ดธรรมดาก็ถือเป็นเว็บ 2.0 และทำให้คนเข้ามาแล้วเข้ามาอีก มีส่วนร่วมที่ดีได้ แต่นั่นก็ยังไม่พอสำหรับอนาคตกับเว็บที่มองการไกล การริเริ่มทดลอง Web 3.0 กับ Application บนเว็บหรือ Script บางตัวที่ไม่เหมือนใคร เป็นการสร้างความแตกต่าง และเป็นจุดขายที่ดีในปัจจุบันตามนิสัย ผู้ใช้งาน, คนเล่นเว็บไซต์ ที่มีการพัฒนาสูงขึ้น ลำพังเว็บบอร์ดมีเพียงการพูดคุยสื่อสารกันอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนบางกลุ่มที่หันไปเล่นเว็บไซต์ที่เทคโนโลยีเหนือกว่า ที่สร้างความสะดวกให้กับผู้ใช้งานมากที่สุด มีการวิเคราะห์ลักษณะนิสัย ความชอบเป็นรายบุคคล และเก็บข้อมูลพร้อมนำเสนอเนื้อหาที่บุคคลนั้นๆ ชอบได้

เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ

การทำเว็บไซต์จริงๆ ผมเข้าใจว่าบางเว็บไม่ได้เขียนวันเดียวเสร็จ บางเว็บใช้เวลาทำและพัฒนาเป็นปี แต่สำหรับรายได้นั้นบางคนก็รอเป็นปีไม่ไหว ผมเลยไม่อยากให้ซีเรียสเรื่องทำเว็บมากนัก ปัจจุบันระหว่างคนทำเว็บกับทำ SEO ผมเชื่อว่าคนทำ SEO รายได้มากกว่านะคับ และผมก็เชื่ออีกว่าคนทำเว็บเก่ง แต่ SEO ไม่เก่ง สู้คนที่ทำ SEO เก่ง แต่ทำเว็บ ไม่เก่ง ไม่ได้เลย เพราะผมเชื่อว่ารายได้เราก็มาจากการขาย การ present ตัวเอง หากเก่งแต่ไม่มีใครรู้ัจักก็ย่อมไม่เกิดรายได้ ... เว็บไซต์เราก็เช่นเดียวกันคับ

เป้าหมายสำคัญที่ผมอยากแนะนำเพื่อนที่หัดทำ Adsense ก็คือการทำเพื่อให้เกิดรายได้ ขยันโปรโมทให้มากกว่าขยันทำเว็บ เว็บจะสวยหรือไม่สวยไว้แต่งทีหลังก็ได้ แต่อันดับจะสวยนี่มันแต่งกันยาก แม้เว็บยังทำไม่เสร็จก็โปรโมทรอไว้ก่อนเลย ออก Start ก่อนได้เปรียบเสมอ อย่างการทำ Link Wheel เหมือนที่เพื่อนๆ ในบอร์ดนี้แนะนำมาก็ช่วยได้เยอะนะคับ บางคนหัวไวหน่อยก็เอาไปดัดแปลงให้ wheel มันได้อารมณ์ที่เต็มศักยภาพที่ดีกว่าก็แล้วแต่เทคนิคกันไป


อ้างอิง การทำ SEO ด้วย Link Wheel
http://www.thaiseoboard.com/index.php?topic=85517.msg1069530
ผมได้พูดถึงหนึ่งเทคนิค คือ การสร้าง link wheel หรือ การลิ้งแบบวงล้อ (วงกลม)

เป็นเทคนิคง่ายๆๆ ในการหา Back Link ที่ผมขึ้นว่ามันง่ายมากๆ
เนื่องจากปัจจุบัน pligg CMS เป็นที่นิยมกันมากมายไม่ใช่เฉพาะแค่บ้านเรา
แต่ทั่วโลกมีการนำไปใช้งานเป็นจำนวนมาก และก็สามารถหา lists ได้ง่าย

และด้วยตัว pligg เองนอกจากให้ user ได้ส่งเรื่องเข้าไปเพื่อที่จะได้ BL
โดยการอนุมัติของแอดมิน หรือจะแบบออโต้ก็ตาม บางเวบก็ dofollow บางเวบ nofollow บางเวบ redirect

แต่ในส่วนของ profile ซึ่งหลายคนมองข้ามไป สมัคร user เพื่อตั้งหน้าตั้งตาส่งเรื่อง
แต่ความจริงแล้ว แทบจะเกือบทุกเวบ ผมยังไม่ค่อยเห็นใครปรับแต่งหรือแก้ไขในส่วนนี้

ทำให้เราสามารถสร้าง BL ได้ถึงสองลิ้งในหน้าโปรไฟล์ ถึงแม้ว่าจะเป็นลิ้งแบบ url ก็ตาม
แต่ก็ไม่เสียหายอะไรเลย สำหรับลิ้งฟรีง่ายๆ

บางเวบ domain มี pr ถึง pr5 pr6
การได้ลิ้งออกจากเวบที่มี pr สูงก็มีผลเหมือนกันครับ

สองลิ้งที่ผมว่า นั้นก็คือเราสามารถใส่ url ลงไปได้ในช่อง HomePage และช่อง IRC
ซึ่ง 99.99% เป็น dofollow ครับ

ผมเลือกสร้างวงล้อนี้ เป็นหนึ่งกลยุทธ ในการสร้าง BL

วันนี้ผมมีตัวอย่าง เผื่อใครยังไม่เห็นภาพ ลองตามลิ้งเข้าไปดูครับ
ผมสร้าง25 ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รวมการโหวตด้วย

การโหวต ก็เพื่อให้เกิดการลิ้งภายใน ให้บอทเข้ามาหาและ indexed โปรไฟล์เราเร็วขึ้น
การทำ link wheel ก็เพื่อสร้างเส้นทางให้บอท ไปให้ทั่วและเร็วขึ้น
ระหว่างวงล้อ อาจใช้การเชื่อมข้ามถึงกันเพื่อให้เส้นทางเป็นใยแมงมุมมากขึ้นได้
เพราะรู้สึกว่า เดี๋ยวนี้ google เริ่มจับทาง link wheel ออกแล้ว

ตัวอย่างที่ยกมา มี 25 เวบ ไหนๆ ยกตัวอย่างทั้งทีเลยทำเท่ห์ซะหน่อย
มี pr ตั้งแต่ 0 - 6 ใครมี pr 7 - 9 ช่วยบอกด้วย ผมหาไม่เจอ
ตอนแรกตั้งใจให้โดเมนไม่ซ้ำกัน ปัดโธ่ ทำเสร็จเพิ่งเห็นว่ามี .com ซ้ำไปหนึ่งที่ เหอๆๆๆ

ลองไล่ดูครับ สุดท้ายมันจะวนกลับมาที่เดิม



สำหรับวิธีการเช็คลิงค์ง่ายๆ ว่าลิงค์ไหนแรงๆ ก็เช็ค Y! Page Link ได้จาก SEO for Firefox นะคับ ผมเองก็มั่วๆ ผมมักจะเดาว่าลิงค์กลับที่มีรายชื่ออยู่หน้าแรกๆ มักจะเป็นลิงค์คุณภาพของช่วงนั้นๆ เสมอ สำหรับเว็บใหม่ เืพื่อนๆ ก็ลองเล่นเว็บบอร์ดสัก 2-3 บอร์ดแล้วลองใส่ลิงค์กับลายเซ็นต์ลิงค์มาเว็บตัวเองดู และก็ไปเขียนบล็อกลิงค์มา และก็ไปซับมิท หรือหาลิงค์จากที่อื่น หลายๆ รูปแบบ แล้วค่อยมาเช็คดูว่าแบบไหนมันคุณภาพ ก็ค่อยเน้นการหาิลิงค์จากรูปแบบนั้น อะไรที่ทำแล้วเหนื่อยฟรีด้อยคุณภาพก็พยายามลดๆ มันไป เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์มากกว่าหรือหาวิธีใหม่ๆ ในการพัฒนาศักยภาพด้าน SEO ของตนเอง นำความรู้จากแหล่งๆ อื่นๆ มาดัดแปลงทดลองทำดูบ้าง ดีกว่าไปทำตามชาวบ้านเขาโดยที่เราไม่รู้อะไรเลยนะคับ

คู่มือภาคผนวกส่วนตัวของผมนะคับ (คิดเอง) ที่จำเป็นๆ ก็เห็นจะมี
Bot - ความแรงของบอท ผมไม่ได้เขียน script เช็คการเข้าออกของบอทเหมือนเว็บ bookmark ให้ยุ่งยากนะคับ ผมดูจาก SEO Quake Toolbar คับ ว่าเว็บเพจหน้านั้นที่เราจะทำ SEO มันมีอัตราการแคชเฉลี่ยทุกวัน หรือทุกๆ กี่วัน ก็พอให้เราเดาๆ ได้แล้วว่าบอทหน้านั้นที่เรารับมามันแรงหรือเปล่า เพราะหลายคนคงไม่รู้ว่าภาพรวมของอัตราการแคชนี้มันบ่งบอกได้ด้วยว่า ลิงค์เราที่อยู่ในเว็บอื่นมันออกทะเลไปหรือยัง (คือมี index แต่บอทไม่แรงแล้ว) หลายคนรู้ว่าได้ลิงค์ แต่ไม่รู้ว่าได้ลิงค์เพื่อ?
Back Link - เพื่อนหลายคนเวลาวิเคราะห์คู่แข่งมักจะดูจากจำนวน BL เป็นหลัก ซึ่งนั้นก็ไม่ใช่องค์ประกอบที่ดีไปทั้งหมดสำหรับการตัดสินใจประเมินค่าคู่แข่งสูงเกินไป บางทีเว็บเพจ BL 100 ก็สู้เว็บเ่พจ BL 30,000 ได้สบายๆ ของมันไม่แน่นอน เพียงแต่เราต้องมีประสบการณ์วิเคราะห์รายละเอียด
Trust Rank - อันนี้ผมว่าเป็นนิยามที่ไม่มีตัวตน แต่เห็นผลได้ด้วย BL น้อยกว่า แต่สามารถไต่อันดับขึ้นได้ดีกว่าเว็บที่มี BL มากแต่ Trust Rank น้อย ถ้าให้บอกความแตกต่างคงประมาณว่า spam link ไป 1 อาทิตย์อันดับขึ้นนิดเดียวเอง กับ เขียนรีวิวเนื้อหาดีๆ ไม่กี่บทความ 1 อาทิตย์อันดับพุ่งเห็นผล ถ้าจะให้เลือกว่าควรทำแบบไ่หนดีกว่ากัน ผมคงตอบได้เพียงว่า ตอนนั้นคุณต้องการบอท หรือ ความสัมพันธ์ของเนื้อหาล่ะ

ตัววัดผลที่ขัดกับเหตุผลที่ทำได้ เพื่อนๆ ที่นิยมขยันๆ ถึกๆ สร้างลิงค์กาจาย เคยเช็คแคชหน้าเว็บตัวเองที่ลิงค์เข้ามาป่ะคับ มันแคชบ่อยขึ้นหรือเท่าเดิม ถ้าเท่าเดิมก็ใช้วิธีอื่นเถอะคับ เพราะปกติลิงค์คุณภาพดีๆ เข้าเว็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เว็บเพจมันจะต้องแคชบ่อยขึ้นจนมาแคชทุกวัน

วิธีทำ SEO ของผมนะคับไม่เรื่องมาก ผมใช้แค่ บอทเยอะที่สุดเท่าที่เว็บจะรับได้จากจำนวน backlink ที่คาดว่าจะไม่โดนแบน (Site Age, Traffic UIP) วิ่งมาเจอ Trust Rank คับ ส่วนวิธีที่จะหาบอทหรือ Trust Rank นั้นมีมากมายผมคงบอกได้ไม่หมด ไม่ว่าจะเป็น bookmark, social network, blog, webboard ล้วนได้หมดคับ หวังว่าตรงนี้คงจะมีประโยชน์นะคับ

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือความอดทน ถึก คิดไว้เสมอว่าถ้าทำเว็บแล้วเดือนเดียวมีรายได้ ไม่ได้เป็นกันทุกคน ส่วนมากคนที่ทำแล้วไม่มีรายได้ก็คือเดินทางผิด ไม่รู้จักวางแผน

สิ่งที่ผมคิดว่ามันอยู่เหนือสิ่งอื่นใด นอกจากความขยัน อดทน ความรู้ โอกาส แล้วก็คือการรู้จักวิเคราะห์และประเมินสิ่งที่เราจะทำคับ ถ้าวิเคราะห์ผิดต่อให้ขยันยังไงมันก็เหนื่อยฟรี หรือไม่ก็ได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าเหนื่อยอ่ะคับ

ปัจจุบันการทำเว็บตามคนอื่นเป็น Feel ที่กำลังติดเป็นกระแสมาแรงมาก และการที่ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่น ก็เยอะติดกระแสไม่แพ้กัน ผมเข้าใจว่าบางคนก็ไม่เก่ง บางคนเก่งคนละด้าน มีความรู้ต่างกัน บางทีต้องอาศัยกัน บางทีฉายเดี่ยว ถ้าเรารู้จักประมาณตัวเองว่าเราสู้ Keywords ไหนได้บ้างและเลือกทำคำนั้น ผมว่าสำเร็จได้ไม่ยากนะคับ ดีกว่าทำตามคนอื่นแต่ไม่สำเร็จเลย ยิ่งไม่อดทนด้วยแล้วก็ ตกม้าตายได้แบบสบายๆ เลยคับ ผมเองก็เป็นบ่อยแต่ก่อน เลือกทำคำยากๆ ไปแข่งกะฝรั่ง เด๋วนี้รู้ตัวเองแล้วว่าไม่เก่ง ก็พอเลือกคำง่ายๆ ที่คิดว่าตัวเองทำได้ ก็เลยนำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังคับ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้เพื่อนๆ หลายๆ คนเริ่มต้นเดินทาง Adsesne ได้ดีกว่าผมคับ เพราะผมออกทะเลไปแล้ว




วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Windows7 เวลาคลิกที่ Folder(โฟเดอร์) แล้วเปิดหน้าต่างใหม่ตลอด รำคาญมาก แก้ไม่ได้


"Open each folder in the same window" ใช้งานไม่ได้ เสีย
      ทำตามนี้ได้เลย เนื่องจากตั้งค่าบน Folder Options
ทำแล้วไม่ได้ผลครับ (Windows 7)


คือเวลาคลิกเปิด Folder หรือ เปิด My computer ด้านใน แล้วเราจะเลือกเปิด Drive หรือ Folder (โฟเดอร์) ข้างในต่อไป มันมักจะเปิดเป็นอีกหน้าต่าง ใหม่ เปิดหน้าต่างใหม่ อยู่ตลอด

ซึ่งปกติแล้วค่าดั้งเดิมมันจะเปิดทับหน้าต่าง Window หน้าเดิมอยู่เสมอ

วิธีแก้

ให้พิมพ์ บรรทัดด้านล่าง ลงไปใน Run ที่ Start Menu ทั้งสองข้อ แล้ว OK
1.พิมพ์>>     regsvr32 "%SystemRoot%\System32\actxprxy.dll"
2.พิมพ์>>     regsvr32 "%ProgramFiles%\Internet Explorer\ieproxy.dll"

หรือ

ขั้นแรก

ให้พิมพ์ บรรทัดด้านล่าง ลงไปใน Run ที่ Start Menu
sfc/scannow

แล้ว Restart

ขั้นสอง
regsvr32 "%SystemRoot%\System32\actxprxy.dll"
regsvr32 "%ProgramFiles%\Internet Explorer\ieproxy.dll"



ไปดูที่
http://social.technet.microsoft.com/Forums/en-US/w7itproui/thread/797fe60c-efb8-44d0-8495-81102b0a7c9c/


วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ต้นกำเหนิดของสิริ เป็นโครงการใน DARPA

เท่าที่ผมรู้ APPLE ซื้อ SIRI จาก DARPA
เรื่องราวของ "สิริ" นี่ไม่ธรรมดา

ต้นกำเหนดของสิริ เป็นโครงการใน DARPA (สำนักงานโครงการวิจัยเชิงป้องกันชั้นก้าวหน้า)
ของกองทัพสหรัฐฯ


ชื่อเต็มของ DARPA คือ The Defense Advanced Research Projects Agency เป็นหน่วยงาน
สนับสนุนงานวิจัย ของกองทัพสหรัฐ

โครงการที่เป็นต้นกำเนิดของสิริ เริ่มจาก DARPA จ้าง บริษัท SRI International ทำการวิจัย
ด้วยสัญญาว่าจ้างวิจัย 5 ปี มูลค่า 150 ล้านเหรียญ โครงการดังกล่าวเป็นงานวิจัยด้าน
AI (Artificial Intelligent) เพื่อสร้างระบบที่สามารถเรียนรู้และฉลาดที่จะทำหน้าที่
ผู้ช่วยส่วนบุคคล



ชื่อโครงการของ SRI ในตอนนั้นคือ "CALO" (Cognitive Agent that Learns and Organizes)
สิริ (Siri) เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับ Consumer ที่พัฒนาจากพื้นฐานของโครงการ CALO
โดยแยกออกมาเป็นบริษัทลูกของ SRI


กล่าวคือ คุณสิริ (Siri) เป็นลูกของคุณศรี (SRI) โครงการ CALO เกิดขึ้นในปี 2003
จบโครงการวิจัย 5 ปี ก็แยก Siri ออกมาในเดือน มกราคม 2008 
Siri ใช้เงิน Venture Capital
ไปสองรอบ รอบแรกในตุลาคม 2008 ระดมทุนไป 8.5 ล้านเหรียญ 
รอบที่สอง พ.ย.2009
ได้ทุนไปอีก 15.5 ล้านเหรียญ


เดือน กุมภาพันธ์ 2010 Siri ก็ออกโปรแกรมแรกบนไอโฟน โปรแกรมสุดฉลาด
รู้ไปหมดทุกเรื่อง ดูจากวิดีโอนี้ครับhttp://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=MpjpVAB06O4


สิริ ออกโปรแกรมไปได้ไม่ทันถึงสองเดือนครับ ในเดือน มีนาคม 2010 Apple ก็เข้าซื้อ Siri
ไปด้วยมูลค่าที่ไม่เปิดเผย แต่น่าจะแพงทีเดียว


ผ่านไปปีกว่า เมื่อ 4 ตุลาคม 2011 Apple ก็เปิดตัว Siri บน iPhone 4S ที่ออกใหม่ -- โดยเรียก Siri
ว่า "ผู้ช่วยส่วนตัวของคุณ" ตอน Apple ซื้อ Siri เมื่อปีกลาย ถูกครหาว่ากำลังจะเข้าสู่ตลาด
Search เพื่อแข่งกับ Google แต่ศาสดาออกมาเถียงคอเป็นเอ็นว่า "ไม่ใช่เฟ้ย"


Steve Jobs ออกมาเคลียร์เรื่องนี้ด้วยตัวเอง บอกว่า Siri ไม่ใช่ Search Company แต่เป็น
Artificial Intelligent Company ต่างหาก

เพื่อนๆอาจจะดู สิริ แบบเผินๆ แล้วคิดว่ามันเป็นแค่ระบบ Voice Recognition System ธรรมดาตัวนึง
ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดครับ


ระบบ Voice Recognition ของ สิริ นั้นใช้ Dragon Engine ของ Nuances ซึ่งแม้เป็น feature หลัก
แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญครับ หากดูจากวิดีโอที่ผม link ไปเมือสักครู่จะเห็นว่า สิริ นั้นฉลาดมาก
ในการเข้าใจภาษาของมนุษย์ ตอบโต้ได้ดีมากๆ


แต่การที่ สิริ เป็นแค่ แอพ ของ 3rd party นั้นจำกัดแค่นั้น การที่ Apple ซื้อ สิริ มาฝังใน OS
เป็นก้าวกระโดดที่สำคัญมากครับ

สิริ เป็น Bot ที่ฉลาดมากๆ เมื่อมันเข้าถึง Contact, Calendar, Social Network ของคุณ ตลอด
จนรู้ว่คุณดูหนัง ฟังเพลง ใช้แอพ เล่นเกมอะไร...


สิริ ก็จะกลายเป็น "ผู้ช่วยส่วนบุคคล" แสนรู้ของคุณไปในทันทีครับ จัดการให้คุณได้ทุกเรื่อง


การเปิดตัว สิริ ของ Apple นี้เป็นก้าวกระโดดของสองวงการครับ คือ วงการโมบาย และ
วงการปัญญาประดิษฐ์ (AI) 
สิริจะเป็น AI software ที่มีคนใช้เป็นล้านๆคนโปรแกรมแรก และ
ไอโฟน 4S จะเป็นโทรศัพท์ที่ฉลาดที่สุดในตลาด...


ที่สำคัญคือ สิริ จะเป็น "almost-human assistant" คือจะเหมือนกับเราพูดกับคนมากๆ
ไม่ใช่พูดกับเครื่องจักร นี่คือประเด็นสำคัญ

Norman Winarsky หนึ่งในผู้ก่อตั้ง SRI ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า Siri น่าจะไปได้ไกล
อีกไม่นานจะได้เห็น Siri คุยกับ Siri แน่นอน...

ตรงนี้หมายความว่า เมื่อเราใช้ Siri เป็นเหมือนเลขาส่วนตัว เมื่อเราต้องการนัดกับเพื่อนหรือลูกค้า
ก็สั่ง Siri ของเรา โทรไปนัดกับ Siri ของเค้า ซึ่งทุกคนก็จะมีเลขาส่วนตัวที่ชื่อ "Siri" เหมือนกันหมด...

สิริ กำลังเป็นที่จับตา หากมันทำงานได้ดีอย่างที่คาด... การปฎิวัติ User interface ครั้งใหญ่
อีกครั้งกำลังจะเกิด หลังจาก Multi-touch


การปฎิวัติ UI ใหม่รอบนี้ Apple จะได้เปรียบมาก เพราะ Siri นั้นก้าวหน้ากว่าคู่แข่งไปมากแล้ว...
และแม้ว่า จ๊อบส์ จะเคยบอกว่า สิริ ไม่ใช่ Search Engine นั้น ก็ไม่ได้แปลว่า Apple จะไม่แข่งกับ
Google ในตลาด Search นะครับ


จริงๆแล้ว สิริ จะมีผลกับ Google แบบเต็มๆครับ จ๊อบส์เองก็ทราบ เพราะเคยให้สัมภาษณ์เมื่อ
ปีกลายดังนี้ครับ...

"โมบายไม่เหมือน Desktop…คนใช้ไม่ search หรอก..ผู้ใช้โมบาย
เข้าถึง data บนเน็ตด้วย Apps ทั้งนั้น ไม่ใช่ด้วยการ search" --
Steve Jobs



Google เองก็ทราบดีว่า การ Search ใน Android นั้น ผู้ใช้ search ด้วยเสียงมากถึง 25%

เมื่อเราบอกสิริว่าเราต้องการอะไร นอกจากสิ่งที่มีในโฟนแล้ว สิริ ค้นจาก Wolfram Alfa, Wikipedia
และ Yelp เป็นหลัก ซึ่งทั้งสามคือคู่แข่ง Google

จะว่าไปแล้ว สิริ คืออาวุธตัวใหม่ของ Apple ที่จะปฎิวัติโมบายด้วย UI อีกรอบ และอาวุธนี้เล็งไป
ที่ Google แบบเต็มๆครับลองดูเรื่อง Search ในโมบายให้ละเอียดอีกนิดนะครับ คีย์เวิร์ดยอดนิยม
ของการ search ในโมบายนั้นต่างจาก Desktop ครับ


คนในโมบายจะค้นหาพวก พยากรณ์อากาศ, ดิกชันนารี, เซเล็ปทำอะไร, ที่กิน, ที่เที่ยว...พวกนี้
Google ไม่จำเป็นสำหรับ Siri

บริษัทที่เป็นตัวแปรสำคัญคือ Wolfram Alpha, Yelp และ Twitter ครับ ซึ่งทั้งสามเซ็นต์เป็นพันธมิตร
กับ Apple ไปแล้ว Support สิริ เต็มเหนี่ยว

Wolfram Alpha มีข้อมูลธุรกิจ,ตลาดหุ้น - Yelp มีข้อมูล Location based - Twitter มีข่าวและเซเล็ป …

เพื่อนๆคงมองเห็นภาพนะครับว่า สิริ นั้นจะเป็นตัวแปรใหม่ที่มีผลต่ออุตสาหกรรม Mobile และ AI
อย่างมาก ที่สำคัญคือ... เรากำลังเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ของ mobile UI อีกระดับครับ


ที่มา หมอจิมมี่