วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Facebook Fanpage กับ Group - จุดประสงค์การใช้งานที่ต่างกัน


จะสร้างอะไรระหว่าง Facebook Fanpage
กับ Group (Cover) 
- จุดประสงค์การใช้งานที่ต่างกัน




ตั้งแต่เฟสบุ๊ค ได้เปิดฟีเจอร์ “กลุ่ม” ขึ้นมา …ผมเห็นหลายๆคนใช้ “กลุ่ม” ในทางที่เหมาะสม หรือบางคนสร้างแฟนเพจ แทนที่จะทำเป็นกลุ่ม   …ความไม่เหมาะสมที่ผมว่า เช่น สร้างกลุ่มเพื่อขายของ …มันคือการใช้กลุ่มไปในบทบาทที่ผิด ถ้าจะขายจะสร้างแบรนด์  ผมมองว่ายังไงก็ควรใช้ แฟนเพจมากกว่า  ทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการแทกโฆษณา

แฟนเพจ กับ กลุ่ม ผมมีทั้งสองอย่าง และใช้ต่างกัน ผมสร้างกลุ่มเพื่อพูดคุยกับเพื่อน เพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันพูดคุยกันในวงจำกัด  ส่วนแฟนเพจ สร้างไว้ให้ผู้ที่สนใจอัพเดทข่าวสาร และรับจำนวนไม่จำกัด  ดังนั้นทั้งสองอย่างผมกำหนดบทบาทไว้ต่างกัน สื่อสารกับคนในกลุ่มที่มีจำนวนจำกัด กับ สื่อสารกับคนทั่วประเทศและรับจำนวนไม่จำกัด



















สิ่งที่ต่างกันอีกอย่างคือ “ความน่าเชื่อถือ” กลุ่มไม่เหมาะกับสินค้า แบรนด์ เว็บ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ การที่มีสมาชิกมากแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มนั้นเป็นที่นิยมเสมอไปเพราะกลุ่มมันลากใครมาเป็นสมาชิกก็ได้ โดยที่สมาชิกไม่ได้ทำอะไรเลย  ตรงกันข้ามกับแฟนเพจ  คนที่กด Like คือส่วนใหญ่คือคนที่เขา “สนใจ” จริงๆ

กลุ่มเหมาะกับการมีไว้พูดคุยกับสมาชิกที่มีอย่างจำกัด เช่น เพื่อนร่วมห้อง เพื่อนร่วมรุ่น เพือนชมรม เพื่อนเล่นเกมส์ ฯลฯ  พูดคุยกันเรื่องในแบบที่เป็น “เรา”  ในวงที่มีอย่างจำกัด ควรจะ “จำกัด” เพราะเวลาที่มีการโพสมันจะไม่รบกวนสมาชิกมากเกินไป  ที่สำคัญคนในกลุ่มควรเป็นกลุ่มที่สนใจเรื่องเดียวกันจริงๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าจะให้กลุ่มใหญ่โต แล้วไปเพิ่มคนที่ไม่เกี่ยวข้อง  …เป็นการสร้างความรำคาญอย่างหนึ่ง

หลักสำคัญ กลุ่ม คือ การสื่อสารระหว่าง
สมาชิกกับสมาชิก


ในส่วนของของ แฟนเพจ เหมาะสำหรับ บุคคล สินค้า แบรนด์ต่างๆ ที่ต้องการสมาชิกแบบไม่จำกัดจำนวน หรือเป็นกลุ่มที่ขนาดใหญ่ ตั้งแต่ระดับพันจนถึงล้าน  และต้องการลูกเล่นต่างๆ เช่น สร้างโปรโมรชั่น กระดานสนทนา หน้าแนะนำองค์กรณ์ ฯลฯ แฟนเพจมีพร้อม





ขอบคุณที่มาให้เตือนใจ : http://makky.in.th/781/






วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ข้อดี ข้อเสีย Android และ Iphone - (มุมมอง)

มันก็มีข้อดีข้อเสียกันทั้งสองระบบนะครับ คุยกันดีๆ ก็ได้นี่ครับ ใครชอบอะไรก็ใช้ไปทำไมต้องมาด่ากัน



iPhone
ข้อดี
1. ระบบเสถียร (เพราะทำเองทั้ง OS ทั้ง Hardware และเข้มงวดเรื่อง APP)

2. ใช้งานง่าย (เพราะไม่ค่อยเปิดให้ตั้งค่าอะไรได้มากมายนัก)

3. ใช้แล้วดูดี (เพราะเครื่องมันแพง ต้องมีตังค์พอสมควรถึงจะซื้อได้)

ข้อเสีย

1. ไม่มีตัวเลือกด้าน Hardware และระดับราคา (iPhone iPAD เลือกได้แค่จะเอา Storage มากแค่ไหน ราคาเริ่มต้นค่อนข้างสูง)

2. ขาดความยืดหยุ่นในการถ่ายโอนและแลกเปลี่ยนข้อมูล (ต้องผ่าน iTune เท่านั้น Sync ได้กับพีซีแค่เครื่องเดียวเท่านั้น ถ้าจะเปลี่ยนเครื่อง Sync ต้องล้างข้อมูลใน iPhone iPAD ออกให้หมดก่อน)

3. APP เยอะจริงแต่ส่วนใหญ่ต้องซื้อ

4. ไม่รองรับ Adobe Flash (เว็บไซท์ส่วนใหญ่มี Adobe Flash แต่ Apple หักดิบ User ไม่รองรับ Adobe Flash ทำให้การแสดงบนหน้าเว็บไม่สมบูรณ์)

---------------------------------------------------------------------------------------------------------



Android
ข้อดี

1.ตัวเลือกในการใช้งานหลากหลายทั้ง Hardware และระดับราคา (มีผูผลิตจากหลากหลายบริษัท
และรองรับสเปคเรื่องที่กว้างกว่าทำให้กลุ่มผู้ใช้มากกว่า)

2. มีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูง

3. APP เยอะและส่วนใหญ่ฟรี

4. รองรับ Adobe Flash

ข้อเสีย

1. เสถียรภาพสู้ IOS ไม่ได้ (เพราะต้องรองรับ Hardware ที่หลากหลายกว่า)

2. สามารถปรับแต่งใด้มากทำให้ดูใช้งานยากกว่า (สำหรับมือใหม่)





สรุปว่าใครชอบแบบใหนก็เลือกเอาครับ!

มันก็เหมือนซื้อรถนั้นแหละ ถ้าใครตังค์เหลือซื้อเบนซ์มาขับ
ก็ไม่แปลก เงินน้อยหน่อยก็ยังมีโตโยต้า ฮอนด้าให้ขับ แต่คน
ที่ขับโตโยต้า ฮอนด้าไม่ได้หมายความว่าจน เค้าอาจคิดว่า
เบนซ์มันไม่จำเป็นก็ได้ หรือคนรวยๆ เค้าอาจจะไปเลือกเล็กซัส
ของโตโยต้า หรูหราดีเหมือนเบนซ์ แต่จ่ายน้อยกว่า จริงมั้ย
ครับ

จะว่าไปแล้วโดยประวัติที่ผ่านมาแล้ว Apple ทำ OS มานานแล้วนะครับ Android เพิ่งจะเริ่มต้นเอง จะเอาโครงสร้างพื้นฐานมาดีกว่า Apple ได้ไง

ซึ่งของนัก programmer มืออาชีพเค้าได้บรรยายให้ฟังไว้ว่า กว่า Android มาถึงจุดนี้ได้ถือว่าสุดยอดแล้วครับ ต้องบอกว่าโดยสถิติแล้วคนใช้ Android ในสมาร์ทโฟนนั้น มากกว่าคนใช้ IOS ทิ้งกันไม่เห็นฝุ่น(เพราะเป็น OS ฟรี และ ผู้ผลิตมือถือแบรนด์ต่างๆเอาไปพัฒนาต่อยอดใน เครื่องตนเองได้หลากหลาย)

และที่ผ่านมา Android ก็ต้องพัฒนาให้ตอบสนองนักพัฒนาเยอะกว่าและเยอะกว่า เพราะว่ามันมีลูกค้าอยู่จำนวนมหาศาล และความต้องการไม่เหมือนกันเลย มันเลยต้องพัฒนาให้ตอบสนองผู้บริโภคมากกว่า

มาถึงจุดนี้ ก็เป็นเพราะ Android มันเป็นระบบเปิด โครงสร้างพื้นฐานจึงต้องยืดหยุ่นมาก เมื่อยืดหยุ่นมากก็ทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ทุกจุด ในขณะที่ IOS รู้ว่าจะต้องเกิดข้อผิดพลาดตรงไหน ความผิดพลาดมันมาจาก Hardware และ Program ตัวใด ปัญหาเกิดจากโครงสร้างทางวิศวกรรม ส่วนใด มันระบุปัญหาได้ง่ายกว่า ทำให้ไม่จำเป็นต้องการให้มีการแก้ไขมากนัก



ดังนั้นระบบปิดจึงค่อนข้างมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่า เพราะไม่ต้องยืดหยุ่น แต่ถ้ามองว่าเพราะมันยืดหยุ่นได้มากกว่ามันถึงดีกว่า อันนี้ก็ต้องตอบว่า แล้วแต่คนคิดครับ พูดไม่จบครับ

เหมือนกับเรา เรียนทุกอย่าง เรียนหมด ทำเป็นทุกอย่าง แต่เจาะลึกไม่ได้ กับเรียนมันอย่างเดียวให้ชำนาญที่สุด เหมือนแพทย์เฉพาะทาง หรือ วิศวกรเฉพาะทาง เก่งเฉพาะทางจริงๆ ถามว่าอันไหนดีกว่าตอบไม่ได้ครับ

อย่างถ้าเราไปอยู่ในสถานที่ขาดแคลนแรงงาน รู้เยอะดี สามารถทำได้หลายอย่าง แต่ถ้าอยู่ในสถานที่มีแรงงานเหลือเฝือ เฉพาะทางดีกว่า เพราะกลายเป็นว่างานอย่างนี้ใครๆ ก็ทำเป็นกัน แต่ที่ รู้เยอะ เฉพาะทางและรู้ลึก มันมีคนเดียวเท่านั้น

ดังนั้น ต่างคน ต่างมีความดีของตัวมันเอง เลือกที่จะใช้อย่างเหมาะสมครับ ก็จะดีที่สุดสำหรับเรา แล้วจะไปแคร์อะไรอีก อยู่บนพื้นฐานพอดี พอเพียง ก็เพียงพอครับ




เรื่อง Multitasking และทำไม Android ถึงไม่ลื่น - น่าคิด








เหตุของปัญหา Android ไม่ลื่นมันเกิดจากการออกแบบระบบตอนเริ่มต้น ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ Touch screen แต่ออกแบบมาเพื่อสู้กับ Blackberry

จนเมื่อ iPhone ออกมาก่อน เจ้า Android เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปสู้กับ iPhone แทน โดยยังไม่ทิ้งรากฐานเดิมที่เป็นระบบเพื่อการควบคุมแบบปุ่ม รวมถึงระบบการวาดหน้าจอที่เหมาะสำหรับการวาดหน้าจอทีละบรรทัดเหมือนเลื่อนข้อความใน bb ครับ ส่วน iPhone จะเป็นรูปแบบการวาดหน้าจออีกลักษณะหนึ่ง ที่เป็นลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม



ทำให้สามารถเลื่อนได้อิสระกว่านอกจากนี้ iPhone ถูกออกแบบโดยเก็บเป็นความลับสุดยอดมาตลอด และสตีฟ จ็อบส์ให้ความสำคัญกับการตอบสนอง และความลื่นของหน้าจอมากๆ ระบบเลยออกแบบให้งานวาดหน้าจอมีความสำคัญระดับสูงสุดของระบบ ที่เรียกว่าระดับ Real-time

คือแม้มีการเลื่อนหน้าจอมากๆ ระบบจะทุ่มการประมวลทั้งหมดไปลงที่การวาดหน้าจอ ที่บางคนเห็นว่าเมื่อมีการเลื่อนจอเร็ว เว็บถึงกับหยุดโหลดเพื่อให้เลื่อนจอให้เสร็จก่อนและระบบการทำงานของ iPhone กับ Android ก็แตกต่างกัน ดั่งปรัชญาการผลิตที่ต่างกัน คือไอโฟนยอมที่จะสละบางอย่าง เพื่อให้งานบางอย่างออกมาดีที่สุด



ในที่นี้ก็คือระบบ Mulltitask แกนๆ ของ iPhone ที่จะไม่มีการประมวลผลเบื้องหลัง แต่จะแช่แอพไม่ให้ทำงานไว้อย่างนั้น เว้นไว้เพียงบางเรื่องที่ API เปิดให้ทำงาน เช่นแผนที่ หรืองานเล็กๆ ที่ต้องทำให้เสร็จอย่างการอัพโหลด ในขณะที่ android ทำงานเหมือนคอมพิวเตอร์ คือทุกงานไว้ว่าจะเปิดอยู่ หรืออยู่บน background ทำงานได้หมด ซึ่งความแตกต่างในจุดนี้ ทำให้ Android กินแรงซีพียูมาก กินแรมมาก เพื่อรักษางานทุกอย่างให้รันต่อไปได้

ส่วน iPhone จะทุ่มแรงและทรัพยากรทั้งหมดเพื่องานที่อยู่ตรงหน้า ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่ามันตอบสนองดีกว่าทางออกของ android เรื่องความลื่นของระบบจึงออกมาในรูปของการอัดระบบ อัดซีพียู อัดแรมให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ส่วน iPhone สามารถทำงานได้ดีแม้แรม 512 เพราะมันไม่ต้องเหนื่อยกับภาระงานเบื้องหลังใน multitask ครับ

นอกจากนี้ถ้าจะแก้ปัญหาความลื่นของการแสดงให้เท่ากับไอโฟนโดยไม่ต้องเพิ่มความเร็วระบบ ก็ต้องรื้อฐานของ OS ใหม่ ทำให่แอพที่มีอยู่ในปัจจุบันจะรันไม่ได้IOS กับ Android จึงแตกต่างทั้งการกำเนิด และปรัชญาการทำงาน แต่ก็ต้องมาสู้กันในปัจจุบันครับ



http://topicstock.pantip.com/mbk/topicstock/2012/04/T12009313/T12009313.html




วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

7กลุ่มเผยนิสัยตัวจริง-(เหตุการณ์น้ำท่วมเท่านั้นนะ)


วิกฤตน้ำท่วมสะท้อนพฤติกรรมคนไทย 

มศว.แบ่งคน 7 กลุ่ม คนอาสา คนทำหน้าที่ ผู้ประสบภัย คนเห็นแก่ตัว คนมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ฯลฯ แนะให้มีสติ ตื่นตัวแต่อย่าตื่นกลัว และให้มองปัญหาว่าสามารถคลี่คลายได้เสมอ     




ดร.จิตรา ดุษฎีเมธา ประธานโครงการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่าผู้คนในสังคมจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น ทำให้เห็นปรากฏการณ์ทางสังคมมากมาย โดยเฉพาะผู้คนในสังคมที่มีอยู่หลากหลายและสามารถแบ่งได้เป็น 7 ประเภท และแต่ละประเภทต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงตัวเองและต้องแก้ไขตัวเองด้วย มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาสังคมตามมาอีก




1.กลุ่มคนที่เข้าช่วยเหลือ เผื่อแผ่ แป่งปัน แม้ว่าบุคคลที่เขาช่วยจะไม่ใช่ญาติหรือพี่น้อง หรือแม้แต่คนที่เขาไม่ชอบหน้า และแม้ว่าตัวเองจะไม่ประสบกับวิกฤติชะตากรรมนี้ เมื่อเห็นคนอื่นทุกข์ก็จะรีบเข้าไปช่วย ทั้งแรงกาย แรงใจ แรงทรัพย์ อะไรที่สามารถช่วยได้ จะรีบเข้าช่วยเหลือ ด้วยจิตสำนึกมนุษยธรรม วิธีการปรับตัวและแก้ไข บุคคลประเภทนี้ ต้องเตือนตัวเองเรื่องของการทุ่มเทมากเกินไป เพราะการโหมกับบางสิ่งมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายทรุด อารมณ์แย่ และกลายมาเป็นกลุ่มเหยื่อแทน ท้ายที่สุดต้องการให้คนอื่นมาดูแลตัวเองแทน ต้องปรับตัวเองด้วยการมีการเปลี่ยนผลัดการทำงานเพื่อส่วนรวม ผลัดเวรกัน เปลี่ยนบทบาทการทำงานลงบ้าง





2.กลุ่มคนที่ต้องทำตามหน้าที่ หรือภาระความรับผิดชอบ ซึ่งต้องทำงานโดยมีภาระหน้าที่และมีจิตใจที่อาสาอยากจะช่วยเหลือ และเห็นความทุกข์ของผู้อื่นก็พร้อมและยินดีเข้าช่วย โดยเก็บเรื่องราวและความทุกข์ของตัวเองไว้ก่อน แต่จะยึดหน้าที่ภาระรับผิดชอบเป็นหลัก วิธีการปรับตัวและแก้ไข จะต้องให้คนกลุ่มนี้มีเวลาพักพร้อมไปกับหาต้นทุนชีวิตให้ตัวเอง เพื่อจะได้มีแรงในการทำงานต่อไป เพราะการทำงานนานๆ และเห็นเหตุการณ์ใดๆ นานๆจะทำให้เกิดอาการล้า เหนื่อย และบางคนอาจจะคิดต่อไปว่า หน้าที่ก็ต้องทำ ตัวเองและครอบครัวยังเอาตัวไม่รอด จึงอยากให้กลุ่มคนกลุ่มนี้ได้พัก หาสิ่งที่เติมเต็มให้ตัวเองก่อน เพื่อจะได้มีแรงเติมเต็มในการทำงานต่อไป     



3.กลุ่มคนที่ร่วมด้วยช่วยกัน โดยเมื่อเราทุกข์ก็เห็นทุกข์ของคนอื่น จะช่วยกันประคับประคองกันและกัน ช่วยเหลืออะไรได้ก็จะช่วย ทำอะไรก็จะทำ และบุคคลกลุ่มนี้จะคิดว่าไม่ใช่ตัวเองคนเดียวที่ทุกข์ คนอื่นก็ทุกข์และประสบชะตากรรมเดียวกับเรา เขาจึงมีกำลังใจที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้อื่น วิธีการปรับตัวและแก้ไขต้องกระทำตนให้เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ หากรู้สึกแย่ก็พร้อมรับกำลังใจ หากพอจะประคับประคองใจได้ ก็ร่วมเป็นกำลังใจให้ผู้อื่น อยากให้บุคคลกลุ่มนี้เติมใจแกร่ง ดูแลตัวเองให้รอด เก็บแรงไว้เพื่อสร้างขึ้นมาใหม่ในวันข้างหน้าเพราะไม่ใช่ตัวเราคนเดียวที่ได้รับชะตากรรมนี้
     


 4.กลุ่มคนที่เอาตัวเองให้รอด เอาตัวเองให้พ้นคนอื่นเป็นอย่างไรไม่สนใจ แต่ตัวเองต้องไม่เป็นอะไรและเมื่อเขารอดค่อยว่ากันว่าจะทำอย่างไรต่อ กลุ่มคนประเภทนี้ถ้ามีใครเข้ามาช่วยเขาก็จะขอบคุณ แต่ถ้าใครรุกล้ำก็จะเดือดดาล หากตัวเขาเองเป็นอะไรไปหรือต้องประสบชะตากรรม เขาจะไม่ยอมและจะพยายามให้คนอื่นเป็นอย่างเขาด้วย วิธีการปรับตัวและแก้ไข คนกลุ่มนี้ต้องรู้จักคำว่า “เรา” ให้มากกว่า “ฉัน” คนกลุ่มนี้ต้องฝึกตั้งสติ ดับอารมณ์การสูญเสียลงบ้าง โดยเฉพาะคำพูดที่อยู่ในตัวตนที่ว่า ทำไมฉันต้องโดนทำไมบ้านฉันต้องโดนน้ำท่วม ทำไมคนอื่นไม่โดนอย่างฉัน ลดการคิดที่จะพูดว่า ฉันต้องได้ ฉันต้องรอด และต้องฝึกเสียสละ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้อื่นเพื่อจะร่วมกันสร้างสุขร่วมกับผู้อื่นบ้าง





 5.กลุ่มคนที่ยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผวาวิตกกังวลจริต คิดไปต่างๆ นานา ในด้านลบด้านร้าย พร้อมยังแตกตื่นหรือตื่นตูมกับทุกเรื่องที่ร้ายๆ ได้ยินได้ฟังข่าวสารต่างๆ จิตเตลิดตลอดเวลา วิธีการปรับตัวและแก้ไขให้เลิกรับรู้เรื่องราวข่าวสารต่างๆ เปลี่ยนเรดาร์สายตา ดูเรื่องดี ฟังเรื่องบวก อื่นๆ บ้าง เพื่อลดอาการรน แปลงความตระหนกตกใจ เป็นหาอะไรทำเพื่อป้องกัน ให้รู้สึกว่าได้ทำอะไรเพื่อคลายล็อคความรู้สึกแย่



6.กลุ่มคนที่ยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แต่ตั้งตัว ตั้งสติ เตรียมตัว เตรียมพร้อมเพื่อรับมือ
อย่างตื่นตัวแต่ไม่ได้ตื่นกลัว หรือทำให้แตกตื่น และตื่นตระหนก คิดแก้ปัญหาหาทางออกเพื่อรับมือกับสถานการณ์ วิธีการปรับตัวและแก้ไขกลุ่มตื่นตัว ตั้งสติ กลุ่มนี้ ให้เก็บใจ เก็บแรง เก็บกายไว้ เพื่อเป็นตัวแบบ และเป็นหลักให้กับกลุ่มอื่นด้วย มีเวลาพักให้กับตนเอง และช่วยเป็นแรงเสริมให้กลุ่มอื่นๆ บ้าง


     

7.กลุ่มคนที่ไม่พายแต่เอาน้ำราน้ำตลอดเวลา วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น เอาแต่พูด เหน็บหาเรื่องตำหนิได้เสมอ พร้อมทำให้สังคมแตกแยก คนกลุ่มนี้จะสนุกกับการทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนก ชอบขยายเชื่อมโยงเนื้อหาสาระข้อมูลข่าวสาร แต่ไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น มีแต่จะนั่งดูและพูดถึงคนอื่นในด้านลบอย่างเดียว วิธีการปรับตัวและแก้ไข ให้พูดน้อย ทำให้มาก เปลี่ยนการเสียดสี มาเป็นจิตอาสา เอาแรงมาปลอบขวัญคนดีกว่า เอามือเขียนสิ่งสร้างสรรค์ ส่งเสริมกำลังใจคนไทยในประเทศกันดีกว่า เพราะตอนนี้ เป็นเวลาช่วยกันมากกว่าจะโทษกัน




































ดร.จิตรา กล่าวว่า สำคัญมากในช่วงนี้ สำหรับทุกคน ทุกกลุ่ม คือ กายต้องรอด ต้องไม่เจ็บป่วย ใจต้องแกร่ง คือ จิตไม่ตก เพราะหากไม่มีแรง กาย แรงใจ เราจะไม่สามารถมองไกลไปถึงวันหน้าได้ อยากให้คนไทยทุกคนโดยเฉพาะผู้ที่ต้องประสบกับปัญหาอุทกภัยรู้จักตื่นตัว แทนการตื่นกลัว ตั้งสติให้ได้ แทนสติแตกแล้วมองปัญหาว่าสามารถคลี่คลายได้เสมอ




เก็บมาจาก : http://www.manager.co.th




วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

4 ข้อคิดการติด AdSense (www.blogspot.com)

การติด AdSense (www.blogspot.com)


หลังจากที่เพื่อนๆ ได้สมัคร AdSense โดยผ่านทาง blogspot แล้วนะครับหลังจากที่ google อนุมัติรียบร้อยแล้วนะครับโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 48 ชั่วโมงหรือว่า 2 วันประมาณนี้แหล่ะครับ เราก็จะมี
AdSense accuont แล้วที่นี้ที่ blogspot จะติดตั้ง Ads ได้เพียงอันเดียวเพราะว่าเวลาเราเปลี่ยนรูปแบบ
Ads ก็จะเปลี่ยน ไปเรื่อยๆแต่ติดได้อันเดียว เราก็อาจจะเสียโอกาสได้ เพราะว่าตามนโยบายของ
google ให้เราติด AdSense ได้ดังนี้นะครับ


1. google อนุญาติให้เราติด AdSens ได้สุงสุด 3 Ads Units/หน้า
2. google อนุญาติให้เราติด google AdSense for search ได้สูงสุด 2 box/หน้า
3. google อนุญาติให้เราติด link Unit Ads ได้ 1 Link/หน้า
4. google อนุญาติให้เราติด referal ได้ 1 referal/1 product ในตอนนี้ google มี referal product อยู่ 4 referal ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเราสามารถติดได้ถึง 4 referal ต่อ 1หน้า

ที่นี้เพื่อไม่ให้เสียโอกาสทองของเรา เราก็ต้องเพิ่ม AdS เอง สำหรับคนที่มีพื้นฐานด้าน Html มาก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรเรื่องง่ายๆ แต่สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานความรู้ Html มาก่อน

อย่างตัวผมเองซึ่งไม่รู้จัก Html เลย แต่ดันอยากทำ AdSense (นี่ก็ปวดหัวพอสมควร และผมก็เชื่อว่ายังมีเพื่อนๆอีกหลายๆคน ก็อาจจะเจอปัญหาเดียวกับผมก็ได้นะครับ ผมก็เลยอยากจะถ่ายทอดประสบการณ์ให้ ซึ่งผมเองก็อาศัยการลองผิดลองถูกเอง เพราะว่าเท่าที่ผมค้นหาตามเว็บส่วนใหญ่แล้ว เค้าก็เขียนบทความในระดับที่ Advance ซะเป็นส่วนใหญ่ซึ่งมีหลายๆ เว็บนะที่เขียนได้ดีมากๆ แต่ไม่ค่อยมีระดับ

เบสิกๆ เลย หรือว่าผมยังไม่เจอก็ไม่รู้นะ ใครที่อ่านเจอที่ไหนก็ช่วยบอกผมหน่อยก็แล้วกันนะครับ
ในที่นี้ผมจะขอกล่าวถึงเฉพาะการติด AdSense สำหรับ blogspot เท่านั้นนะครับ ของเจ้าอื่นผมยังไม่เคยทดลองขั้นแรกหลังจากที่ google อนุมัติ ให้เราเรียบร้อยแล้วนะครับเราก็ต้องเข้าไปที่ account ของเรา
ที่ https://www.google.com/adsense/

1.หลังจาก log in เข้าไปแล้ว ก็คลิกที่ Adsense Setup Tap ก็จะมี Ads แต่ละรูปแบบมาให้เราเลือก
เราก็เลือกตามสบายเลย แต่ต้องคำนีงถึงรูปแบบ template ของ blog เราด้วยนะครับ เอาเป็นว่าโดย
หลักการแล้วก็คือทำให้ Ads กลมกลืนกับบทความของเรามากที่สุด จนคนอ่านคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของบทความของเรา อันนี้ก็เป็นศิลป์ของแต่ละคนนะครับ ที่จะนำไปปรับแต่งให้กลมกลืนกับ blogs ของเรามากที่สุดก็มีหนังสือฝรั่งอยู่หลายเล่มนะครับที่แนะนำเรื่องนี้ได้ดีมากๆ

2.หลังจากที่เราเลือก Ads ของเราได้เป็นที่พอใจแล้วเราก็ copy AdSense code มาอาจจะนำไปวาง

ไว้ที่ notepad ก่อนก็ได้นะครับ (ระวังด้วยนะครับเพราะว่า google ห้ามปรับแต่งcode ในขั้นตอนนี้แหล่ะครับเราอาจจะเผลอไปปรับแต่ง โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ เดี๋ยว Google จะแบนเอา) เราก็ log in เข้าสู่บัญชี blogspot ของเรา คลิกเลือก Templateแล้วก็ copy Template มาทั้งหมดเลยครับ นำมาวางไว้ที่ notepad หรือว่าเพื่อนๆ คนไหนมีโปรแกรม Html editor ซึ่งมามากมายหลายโปรแกรม ของฟรีมีมากมายครับก็เลือกเอา

ตัวที่มันสามารถ preview ได้ (หรือว่าเขามีกันหมดแล้วอันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับ) นำ code Html ไปวางไว้ที่ Html editor แล้วหลังจากนั้นเราก็นำ Adsense Code ไปทดลองวางไว้ในตำแหน่งต่างๆ แล้วก็ preview ดูก็เลือกดูว่ามันผสมกลมกลืนกับ Template ของเราหรือเปล่า ก็ค่อยๆ ทดลองไปจนกว่าจะพอใจนั่นแหล่ะครับ ผมเองก็อธิบายไม่ถูกเพราะว่าไม่เข้าใจ

โครงสร้างของ Htmlว่างๆ ก็เข้าไปเยี่ยมผมหน่อยนะครับที่ www.bangkokandthailand.blogspot.com
blogs นี้ผมยังไม่กล้านำ AdSense มาติดเพราะว่าผมใช้ชื่อ blog ที่เกี่ยวข้องกับ google AdSense ซึ่งเป็นเครื่องหมายทางด้านการค้าของ google เดิมทีผมติดเหมือนกันครับแต่พอดีไปอ่านเจอที่เว็บไซต์
แห่งหนึ่ง เห็นเขาบอกว่าเขาได้ E-mail ไปสอบถาม google ว่าสามารถจดโดเมน ที่เกี่ยวกับ AdSense ได้หรือเปล่าเช่น www.thaigoogleadsense.com/www.thaiadsense.com อะไรทำนองนี้นะครับปรากฏว่า google ไม่อนุญาติผมก็เลยกลัวว่าจะถูกแบน ไม่เสี่ยงดีกว่าเอาไว้ผม E-mail ไปสอบถามทาง google เองดีกว่า
ว่าเขาอนุญาติหรือเปล่ายังไงผมจะนำมาเล่าให้ฟังวันหลังนะครับ.









วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เมื่อมีภาพประกอบเพลง-ความทรงจำที่มีเพลง


คุณหรือผมหรือคนอื่นๆ ก็คงเคยว่างๆ ถ่ายรูปเล่น หรือเอารูปในอดีตมาเปิดดูเพลินๆ เพื่อจะมองใบหน้าตนเอง หรือมองใบหน้าคนที่คุณรักพร้อมบรรยากาศต่างๆในรูปนั้นๆ เราค่อยนั่งเปิดถ้าเป็นอัลบั้มภาพถ่ายเก่าๆ ก็คงต้องนำมากองเป็นตั้งๆก่อน แล้วค่อยเลือกเปิดทีละใบพร้อมกับอมยิ้มไปกับภาพที่เราพลิกเปิดขึ้นมาดู

แต่ถ้าตอนนี้เรามีกล้องดิจิตอลแพร่หลายเป็นอย่างมากราคาถูกไปยังราคาแพงสุดขีด ซึ่งก็สามารถถ่ายภาพและให้อารมณ์ของภาพแตกต่างกันไป ที่แน่ๆ คือเราสามารถถ่ายภาพได้ไม่จำกัด ทำให้เรามีภาพในสต๊อกในคอมพิวเตอร์เหลือคณานับ พอเอามาเปิดดูทีก็ตาลายไปหมด ครั้งบางทีจะมานั่งคัดว่ารูปใหนดี ก็กลายเป็นว่ารูปใหนก็ดูดี และอยากเก็บไปหมดซะทุกรูป แม้แต่รูปที่โพสท่าเดียวกัน แต่ทำหน้าหรือท่าทางเดียวกัน ในจุดๆเดียว เราก็ยังไม่กล้าคัดว่าจะลบรูปใหนออกไป ดังนั้นจึงทำให้เราเสียดายและรู้สึกว่าอยากเก็บภาพทุกๆภาพ ไว้ให้มากที่สุด



กลับมาคิดดูไหม ถ้าเราลองเลือกภาพถ่ายฟลิม์อัด หรือภาพดิจิตอลภาพที่ดีที่สุด ของเราสัก 30-40 ภาพ มาเรียงกันดู แล้วพยายามลืมรูปอื่นๆให้หมดที่มีก่อน แล้วเราลองเปิดภาพเหล่านั้นเอาเฉพาะที่เราคัดไว้อย่างดีมาดูใหม่ว่าเป็นอย่างไร

ลองไล่ดูไปทีละภาพ ถ้าอัดเป็นกระดาษอัดภาพออกมาก็อาจจะได้ความรู้สึกแบบว่าค่อยๆ พลิกดูตั้งแต่ใบแรกจนหมด แต่ถ้าท่านมีภาพอยู่บนคอมพิวเตอร์ความรู้สึกจะเปลี่ยนไปทันที อาจเป็นเพราะภาพบนคอมพิวเตอร์สามารถให้แสงของภาพถ่ายนั้นได้สดใส สามารถขยายใหญ่ก็ได้ พลิกซ้ายพลิกขวาก็ได้ หรือแม้แต่นำมาเรียงใหม่หมด หรือกระทั้งแก้ไขภาพถ่ายทุกๆ ภาพได้ดังใจต้องการ



พัฒนาการต่อมา เราลองเริ่มนำภาพมาทำเป็นสไลด์ภาพตามลำดับในคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจใช้โปรแกรมจำพวก Power point ,Photo show ,Proshow, Adobe premeire เราไล่เรียงเหตุการณ์ที่เราต้องการให้ต่อเนื่อง และลื่นไหล พอเรียงเสร็จเราก็แค่กดปุ่มให้ภาพมันเลื่อนไป ตอนนี้แหละความรู้สึกเราที่ได้เห็นภาพถ่ายของเราเคลื่อนไหวมันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นขึ้นมาแล้วหละ แต่ว่าเราก็นึกขึ้นได้เราต้องเพิ่มเอฟเฟกต์ Affect ต่างๆเข้าไประหว่างภาพหรือบนภาพนั้นๆเลย เช่น Affect เลื่อนภาพขึ้น และลง เลื่อนภาพจากด้านบนลงด้านล่าง หรือมุมใดมุมหนึ่งออกมา หรือทำภาพกระพริบสลับกัน และอาจจะใช้ Transition เสริมเข้าไป เพิ่มการซูมเข้าของของภาพ เพิ่มสิ่งต่างๆเข้าไป พอเสร็จ เราก็ลองกดปุ่ม เพื่อดูภาพที่เราต้องการ


 


คราวนี้ความรู้สึกต่อภาพของเราก็เริ่มมีสีสรรค์ความสนุก และได้ความรู้สึกแปลกใหม่ออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งมาถึงจุดนี้เราก็คิดว่ามันยังขาดอะไรสักอย่าง ดังนั้นเราจึงมองไปหาสิ่งที่เติมเต็มตัวสุดท้ายคือ ซาวด์นั้นเอง Sound คือเพิ่มเสียงเพลงที่เราชอบลงไปประกอบกับภาพนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นเพลงบรรเลงต่างๆ หรือเพลงร้องที่เราชื่นชอบ ลองเอามันไปประกอบกับภาพสไลด์ดูสิ สิ่งที่ได้ก็คือความรู้สึกที่สุดของการรับชมภาพสไลด์ คือความซาบซึ้งในเนื้อเรื่องของภาพที่เคลื่อนไหว เรื่องราวต่างๆได้มากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ





วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นักเรียนตีกัน-ถึงกรณีศึกษาพฤติกรรมสังคมในฝูงลิง


เด็กตีกัน ลองดูการทดลองลิงห้าตัว
เป็นกรณีศึกษา

เรื่องลิง 5 ตัวนี้ เป็นการทดลองทางพฤติกรรมศาสตร์ของวิชาจิตวิทยาที่ปฏิวัติตัวเอง จากการศึกษาเรื่องจิต มาศึกษาเรื่องพฤติกรรมแทน จัดว่าเป็นการกระโดดข้ามสายวิชาการจากสาขามนุษยศาสตร์ เข้าสู่สาขาวิทยาศาสตร์อย่างมั่นอกมั่นใจ ซึ่งนับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากทีเดียวพอๆ กับ ความน่าแปลกใจที่คนที่ศึกษาวิชาจิตวิทยาไม่น้อยเลยที่ไม่ตระหนักถึงปรากฏการณ์เช่นนี้ว่าเกิดมีขึ้นมาตั้งนานแล้ว




ทีนี้มาว่ากันเรื่องการทดลองทางพฤติกรรมศาสตร์เรื่องลิง 5 ตัวดีกว่า

กล่าวคือฝรั่งเขาทดลองเอาลิง 5 ตัวมาขังไว้ในห้องหนึ่ง ตรงกลางห้องมีบันไดตั้งอยู่สูงถึงเพดาน ที่สุดปลายบันไดนั้นมีกล้วยสุก 1 หวีแขวนอยู่ แต่ถ้าใครไปปีนบันไดเข้าก็จะมีน้ำเย็นเฉียบฉีดกระจายไปเต็มห้องไม่หยุดจนกว่าจะไม่มีใครอยู่บนบันไดนั้น

บรรดาลิง 5 ตัวนั้นได้เรียนรู้เรื่องนี้แบบ “Learning by doing” คือปีนขึ้นไปแล้วก็โดนน้ำเย็นด้วยกันทั้งหมด จนกระทั่งหากเกิดมีลิงตัวไหนหน้ามืด อยากกินกล้วยจะเสี่ยงปีนบันไดขึ้นไปอีก ลิงอีก 4 ตัวก็ต้องกรูกันเข้าไปขัดขวางและซ้อมลิงตัวที่หน้ามืดเป็นยกใหญ่ เนื่องจากไม่อยากโดนน้ำเย็นให้หนาวสั่นโดยใช่เหตุ

ในที่สุดลิงทั้ง 5 ตัวก็ไม่สนใจที่จะปีนบันไดอีกเลย……เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วฝรั่งก็เอาลิงออกไปตัวหนึ่งแล้วเอาลิงตัวใหม่เข้ามา

เจ้าลิงตัวใหม่นี้เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องแล้วเห็นกล้วยอยู่บนปลายสุดของบันได ก็จัดแจงจะปีนบันได แต่ก็ถูกลิงรุ่นพี่อีก 4 ตัวรุมลากตัวมา พร้อมกับซ้อมเสียจนเข็ดหลาบไม่กล้าเข้าไปใกล้บันไดอีกต่อไป

คราวนี้ถึงช่วงเวลาที่น่าสนใจมากคือการเอาลิงดั้งเดิมออกจากห้องอีก 1 ตัว แล้วเอาลิงตัวใหม่เข้ามาไว้แทน ที่น่าสนใจก็คือเจ้าลิงตัวใหม่ก่อนหน้าลิงตัวใหม่เอี่ยมนี้ จะรวมหัวกับเจ้าลิงตัวใหม่เอี่ยมนี้ปีนบันไดขึ้นไปเอากล้วย หรือว่าจะร่วมมือกับลิงดั้งเดิม 3 ตัวซ้อมเจ้าลิงตัวใหม่เอี่ยม

ผลก็คือ 4 รุม 1

เจ้าลิงตัวใหม่ก่อนหน้านี้โดนแรงกดดันของกลุ่มใหญ่เดิมเข้าร่วมบาทาสามัคคีด้วย ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจึงต้องรุมซ้อมลิงตัวใหม่เอี่ยมด้วย

หลังจากนั้นก็เอาลิงมาเปลี่ยนทีละตัว จนในที่สุดมีลิง 5 ตัวที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการปีนบันไดเลยอยู่ในห้องทดลองเดียวกันนี้ แต่ไม่มีลิงตัวใดสนใจที่จะปีนบันไดอีกต่อไปโดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงเลยว่าทำไมจึงทิ้งกล้วย 1 หวีให้เน่าเสียไปเปล่าๆ

ผลการทดลองเรื่องลิง 5 ตัวนี้ เอาไปใช้อธิบายพฤติกรรมได้ดีพอสมควร ไม่เฉพาะแต่เรื่องของลิงเท่านั้น บางทีก็เอามาประยุกต์กับพฤติกรรมกลุ่มของมนุษย์ได้เหมือนกัน

เช่น การรับน้องใหม่, นโยบายหรือวัฒนธรรมองค์กร (CORPORATE CULTURE) ที่ ยึดถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด แม้จะไม่ สามารถอธิบายเหตุผลหรือที่มาที่ไปของการประพฤติ (NORMS) และ การปฏิบัติ (STANDARD) ก็ตาม




Source : http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9550000073315






วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เทคนิค Google Insights - หาคีย์เวิดแนวโน้มดี

Google Insights 


Google Insights เป็นหนึ่งในอีกหลายสิ่งที่ทำให้ผมอยากตื่นนอนตอนเช้าในช่วงนี้ หลังจากห่างหายเรื่องการหาคีย์เวิร์ดมานามพอสมควร วันนี้ดาวคีย์เวิร์ดขึ้นมาตรงหัวผมพอดี ถึงเวลาแล้วครับที่จะมาอัปเดทการใช้เครื่องมือหาคีย์เวิร์ดอย่าง Google Insights กันซักที

ไม่ว่าคุณจะทำเงินหรือทำการตลาดหรือทำมาหากินอะไรก็ตามตั้งแต่เปิดร้าน อาหาร สร้างโรงงาน นำเข้านำออกสินค้า และที่คุ้นเคยกันดีที่สุด การสร้าง Campaign Adwords, หาเงินกับ Affiliate และการหาเงินจากจำนวนคลิกกับ Ad Network อย่าง Google AdSense คุณก็ควรจะดูตาม้าตาเรือซักหน่อยว่าโลกเขาทำอะไรกันอยู่ ตลาดไหนมีแนวนโน้มที่จะดึงดูดคนมากขึ้นหรือน้อยลงตั้งแต่นี้ไป ไม่งั้นก็อาจจะต้องเสียเงินเสียเวลา และเหนื่อยฟรีได้ง่ายๆ

สมมุติโง่ๆ ว่า วันนี้ถ้าผมจะสร้างบล็อกเรื่องการเลือกซื้อทีวี แต่เลือกยี่ห้อไม่ถูกว่าจะเอา Sony หรือ Samsung เพราะดูจาก Google KW Tool แล้ว KW ทั้งสองก็มีการค้นหาที่พอไปวัดไปวาได้พอๆ กัน ผมจะรู้อนาคตได้ยังไงว่ายี่ห้อไหนจะทำให้อนาคตของบล็อกผมอับเฉาหรือดีได้ แล้วผมจะรู้ได้ยังไง หลายคนอาจตอบว่าก็ใช้ Google Trends สิรู้แน่ ใช่ครับรู้แน่ แต่ไม่รู้ทั้งหมดเท่า Google Insights อย่างแน่นอน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ?

Google Trends จะบอกคุณได้ถึงความนิยมของ KW แต่ KW นั้นคุณต้องคิดหามาเองเท่านั้น Trends มันจะไม่บอกไม่แนะนำถึง KW หรือนิชที่ใก้ลเคียงที่สอดคล้องและที่น่าสนใจอื่นๆ อีกเลยว่า KW ไหนกำลังมาแรงอีกบ้างเหมือนกับ Google Insights


นอกจากจะแนะนำ KW ที่น่าสนใจอื่นๆ แล้ว Google Insights ก็ยังบอกอีกด้วยว่า KW เหล่านั้นกำลังดวงตกหรือมีแนวโน้มความแรงในจังหวัดไหนบ้างด้วย สมมุติว่าถ้าคุณกำลังจะเปิดตัวสินค้าในช่วงอีกสองสามเดือนต่อจากนี้ เอาเป็นตระแกงปิ้งย่างรุ่นใหม่ล่าสุดใช้แล้วไม่ดำ ไม่เป็นสนิม แต่ไม่รู้ว่าจะไปจัดงานที่จังหวัดไหนดีถึงจะมีคนมางานเยอะที่ สุด สิ่งที่จะให้คำตอบคุณได้ก็คือ Google Insights อีกนั่นเอง

Filter Results & กราฟ ‘เส้นประ’ Forecast เพื่อทำนายเทร็นในอนาคต

ยังครับ ยังมีอีก จากภาพด้านบนจะเห็นว่า นอกจาก G. Insights จะอนุญาติให้ตั้งค่ากรองผลลัพธ์เพื่อวิเคราะห์เทร็นเฉพาะประเทศ จังหวัด หรือทั้งโลกแล้ว (เหมือน G. Trends) ยังตั้ง Filter กรองการวิเคราะห์เฉพาะ Web Search, Image Search, News Search และ Product Search ได้อีก อีกทัั้งให้คุณตั้งค่าวิเคราะห์ตามระยะเวลาย้อนหลังตามสั่งได้อีกด้วย

ทำให้รู้ลึกรู้จริงในทุกแง่มุมของความนิยมของแต่ละคีย์เวริ์ดจริงๆ ยัังไงก็ไปลองใช้กันดูนะครับ ยังมีอะไรมากกว่าที่ผมพูดอีกหลายอย่าง ที่ผมเองอาจจะยังไม่รู้ แต่ถ้าคุณไม่รู้ใช้ยังไง ผมแนะนำให้เข้าไปที่ Youtbe Goole Channel จากนั้นคุณคงรู้นะว่าต้องทำยังไงต่อไป แล้วจะรู้ว่ามันทำอะไรได้อีกมาก ผมเองพักหลังๆ มานี้ก็ใช้เจ้า Insights หาไทเทิ้ลบทความภาษาอังกฤษดีๆ มามากต่อมากแล้ว

ป.ล. คีย์เวิร์ดที่ G. Insights แนะนำนั้นจะเฉลี่ยค่า (Normalize) เป็น 1-100 นะครับ ไม่ใช่จำนวนการค้นหาที่แท้จริง ไม่งั้นผลลัพธ์ต่างๆ จะไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้แบบนี้ เช่น ในคีย์เวิร์ดคำว่า TV ในจังหวัด สุโขทัย กับ กรุงเทพ แสดงกราฟออกมาที่ 100 เท่ากัน ไม่ได้แปลว่ามันมีจำนวนการค้นหาเท่ากัน (Traffic Search Volume) แต่ค่าแปลว่าในแต่ละจังหวัดนั้นมีสัดส่วนเฉลี่ยการค้นหาเท่ากันเมื่อดูจาก จำนวน Traffic ทั้งหมดของแต่ละจังหวัด โอย… งงป่าวเนี่ย ถ้างง ถามกันมาได้ครับ


ขอบคุณที่มา : http://www.digitalmoneylife.com


เทคนิคการใช้คีย์เวิร์ดในการขายสินค้า - ขายดี


เทคนิคการใช้คีย์เวิร์ดในการขายสินค้า

มีเพื่อนๆผมหลายคน ได้โทรมาคุยปรับทุกข์แบบเซ็งๆว่า






“ทำไมหว่าเปิดเว็บขายของมาตั้งนานแล้วยังขายไม่ได้ซักกะบาท” ทั้งๆที่เว็บก็ติดเสิร์ชในอันดับต้นๆ

วันนี้ผมจะมาขยายให้เพื่อนๆได้รู้กันครับ ซึ่งเป็นประสบการณ์จริงของผมเองครับ

ตัวผมเองมีเว็บขายของอยู่หลายเว็บ ในระยะแรกๆผมก็ขายไม่ได้เลยเหมือนกันครับ ก็เลยมานั่งคิดว่า

เพราะอะไร คนเข้าเว็บต่อวันก็ไม่น้อยเลย แล้วมันเป็น ส.ก.บ. อะไรถึงไม่มีออร์เดอร์

ผมใช้เวลาวิเคราะห์อยู่หลายวัน เฝ้าดูคนเข้าเว็บว่าเข้ามาทางไหน ไปที่ไหนบ้าง แล้วไปออกที่ไหน

ผลที่ได้คือ 80% เข้าหน้าบ้านแล้วไม่ไปไหนต่อ (ปิดเว็บเราเลย)

มีเพียง 3% ที่ไปหลายแห่ง(หน้า)เหมือนหาอะไรสักอย่างแต่คงไม่เจอ (ถ้าเจอเราคงได้ออร์เดอร์)

ทีนี้ผมก็มาดูว่าเขาใช้คีย์เวิร์ดอะไรจึงได้เจอเว็บเรา

คนที่เข้ามาดูหลายหน้าส่วนใหญ่ใช้คีย์เวิร์ดด้วยคำสั้นๆ

คนที่เข้ามาหน้าเดียว 90% ใช้คีย์เวิร์ดที่ยาว เรียกว่าเจาะจงมากๆ

เอาล่ะ…ได้การล่ะ(ผมคิดได้ปั๊บลงมือทำปุ๊บ)




***ได้เวลาสรุปแล้วครับ***




หากเราต้องการเน้นที่จะขายของ เราจะต้องใช้คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงในตัวสินค้าของเรา

วิธีการ แยกสินค้าของเราที่เคยรวมกันอยู่ในหน้าละหลายๆอย่าง ให้เป็นหน้าละอย่าง

แล้วเล่นที่ไตเติ้ลของแต่ละหน้าแต่ละสินค้า อัดคีย์เวิร์ดที่เป็นคุณสมบัติของสินค้าแบบเต็มๆ

ทำแบบนี้จนกว่าจะครบตามจำนวนสินค้าของเรา แต่ไม่ต้องเอาหน้าเว็บที่เราสร้างขึ้นใหม่นี้

มาผูกไว้กับเมนูหรอกนะครับ ลูกค้าจะเจอหน้านี้ก็ต่อเมื่อใช้คีย์เวิร์ดตรงกับไตเติ้ลที่เราสร้างไว้

นั่นย่อมหมายความว่า คนที่เข้ามาเจอเราหน้านี้…เขาคือลูกค้าของเรา 99% ครับ

อีกหนึ่งเปอร์เซนต์เผื่อไว้เรื่องราคาน่ะครับ หุหุ..


ทุกวันนี้ผมจะมีออร์เดอร์เข้ามาเรื่อยๆไม่ขาด ก็เพราะคีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงนี่แหละครับ






Link:http://business-online.tht.in/aticle-business-001.html





วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

โปรค่าโทรศัพท์ ของ Dtac

โปรหรือค่าโทรเหล่านี้เปิดหน้าเว็บแล้วไม่เคยเห็นแฮะ เค้ามันไปแอบไว้หน้าใหนกัน ผมเลยเห็นว่าอาจเป็นประโยชน์ต่อหลายๆคน ที่หาข้อมูลกันอยู่ ก็เลยเอามาแชร์ให้ดูครับ